SNP NEWS

ฉบับที่ 386

CEO Article

“ศูนย์รวมใจ”

king-01

“คนไทยมีรูปในหลวงกันทุกบ้าน”

ชาวต่างชาติที่เข้ามาสัมผัสกับประเทศไทยอย่างลึกซึ้งจะรู้และประทับใจที่คนไทยมีรูปในหลวงกันทุกบ้าน คนไทยทุกคนล้วนจงรักภักดีต่อในหลวงทุกครั้งที่มีโอกาสคนไทยนับล้านจะมารวมตัวรวมพลังแสดงความจงรักภักดี คนไทยทุกคนยึดมั่นต่อในหลวงให้เป็นศูนย์รวมใจจนเป็นที่ซาบซึ้งใจต่อชาวต่างชาติที่พบเห็นนี่คือวัฒนธรรมของคนไทยที่มีประวัติศาสตร์เป็นของตนเองมายาวนาน ประเทศอื่น ๆ มากมายในโลกนี้ต่างก็มีประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันเป็นของตนเอง แต่สิ่งที่คล้ายกันคือ เกือบทุกประเทศต้องผ่านการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดินจากศัตรูนอกประเทศเกือบทั้งสิ้น ในยุคล่าอาณานิคม ประเทศที่มีการพัฒนาด้อยกว่าแต่มีทรัพยากรมากกว่าต่างก็ต้องตก
เป็นเป้าหมายการยึดครองด้วยกำลังและอาวุธประเทศหนึ่ง กว่าจะรอดพ้นจากภัยสงคราม รอดพ้นการต่อสู้แย่งชิง และหนีรอดจาก
การฆ่าฟันจนตั้งเป็นประเทศได้ ประเทศนั้นต้องผ่านเหตุการณ์ทุกข์ยากแสนสาหัส หลายประเทศต้องพ่ายแพ้ในสงคราม ต้องตกเป็นเมืองขึ้นผู้อื่น และต้องสูญเสียอิสรภาพจนทำให้แผ่นดินทุกตารางนิ้วตกเป็นของผู้รุกราน ประเทศใดถูกยึดครอง ทรัพยากรและประชาชนของประเทศนั้นก็ต้องถูกยึดครองตามไปด้วย จนกว่าจะมีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกอบกู้เอกราช การช่วงชิงกลับคืน บางทีก็ใช้เวลานับสิบหรือนับร้อยปี ประเทศที่มีระบอบพระมหากษัตริย์ พระองค์จึงทางเป็นศูนย์รวมใจนำพาประเทศ ให้พ้นภัย จนถึงยุคปัจจุบันความเป็นศูนย์รวมใจก็ไม่มีวันเสื่อมสลาย แผ่นดินทุกตารางนิ้วของประเทศที่แย่งชิงกลับคืนมาได้จึงเป็นของศูนย์รวมใจ
เลือดเนื้อทุกหยดและความเสียสละของบรรพบุรุษที่หลั่งไหลออกมา จึงเป็นไปเพื่อศูนย์ รวมใจจนได้เอกราชกลับคืนมา
คนที่เกิดมาบนแผ่นดินในภายหลังไม่ว่าจะเป็นประเทศใดจึงโชคดีที่มีแผ่นดินรองรับ ให้เกิดและมีแผ่นดินให้อยู่อาศัยจนเติบโต
คนที่เกิดมาจึงเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยบนแผ่นดินที่ศูนย์รวมใจนำกลับคืนมาเท่านั้น ปัจจุบัน สงครามชิงเมืองได้เปลี่ยนรูปแบบเป็นสงครามชิงเศรษฐกิจที่สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชนไม่แพ้สงครามชิงเมือง สงครามเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ประเทศต้องอยู่ในความยากจน ประเทศที่มีรัฐบาล เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป แต่ประเทศใดมีระบอบพระมหากษัตริย์ ประเทศนั้นก็จะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้สืบทอดความเป็นศูนย์รวมใจของประเทศ พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นศูนย์รวมใจนำพาประเทศให้ก้าวเดินต่อไปท่ามกลาง สงครามทางเศรษฐกิจที่รุนแรงยิ่งขึ้น
หลายประเทศจึงต้องมีกฎหมายขึ้นมาคุ้มครองศูนย์รวมใจของตนเพื่อป้องกันมิให้บุคลคลใดกระทำการละเมิดการเป็นศูนย์รวมใจ
ประเทศไทยก็เป็นแบบนี้ในอดีต เรามีพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เรามีในหลวงทรงสืบทอดบัลลังก์ เรามีในหลวงเป็นเจ้าชีวิต และเรามีในหลวงทรงเป็นศูนย์รวมใจของแผ่นดินเรื่อยมาหลายร้อยปีระบบการปกครองทุกระบบย่อมมีข้อดีและข้อเสีย
พอมาถึงปี พ.ศ. 2475 คนกลุ่มหนึ่งก็ยกเอาข้อเสียขึ้นมาอ้าง แล้วขอเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของไทยกลายเป็นการปฏิวัติในเวลานั้น ในหลวงรัชการที่ 7 ทรงยอมสละให้กับบุคคลเหล่านั้นจากนั้น ประเทศไทยก็เปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ทำให้เรามีรัฐบาล มีรัฐธรรมนูญ มีสิทธิให้ประชาชนถือครองแผ่นดินบางส่วน และยังมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมใจ

ขณะเดียวกัน เราก็มีนักการเมือง และก็มีกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ความคุ้มครองศูนย์รวมใจเหมือน ๆ กับประเทศอื่นซึ่งเป็นกฎหมายทางสังคมเพื่อสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคมให้เป็นทิศทางเดียวกัน “ผู้ใดจะละเมิดมิได้”ระบบการปกครองทุกระบบย่อมมีข้อดีและข้อเสียรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยทำหน้าที่บริหารประเทศ แต่รัฐบาลต้องมีการเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไปผ่านการเลือกตั้งและการรัฐประหาร และก็มีข้อดีและข้อเสียไม่แตกต่างกันตรงกันข้าม ประชาชนยังคงยึดมั่นต่อในหลวงที่เป็นศูนย์รวมใจอย่างไม่เสื่อมคลายปัจจุบัน การเมืองของไทยมีความแตกแยกกันมาก มีการแย่งชิงอำนาจกันมาก ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง พ่อค้า และทหารต่างก็ติดอยู่ในวังวนการแย่งชิงอย่างไม่หยุดหย่อนความเสียหายต่อประเทศเกิดจากการเมืองที่แตกแยกมานับไม่ถ้วน แต่ไทยก็ค่อย ๆ ผ่านพ้นมาได้ด้วยศูนย์รวมใจที่ประชาชนยึดมั่นการเมืองเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ผลประโยชนทางการเมืองมีมากอย่างไม่สิ้นสุด การแตกแยกทางการเมืองจึงมีวิวัฒนาการที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นตามไปด้วยจนบางครั้งก็กลายเป็นสงครามกลางเมืองสงครามที่ต้องแย่งชิงและทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม การแย่งชิงเพื่อให้ได้รับชัยชนะทำให้คนที่ตกอยู่ในวังวนการเมืองต้องทำผิดมากยิ่งขึ้น แล้วไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การแย่งชิงทางการเมืองก็ไปทำผิดละเมิดกับ ม. 112 มากเข้าไปด้วยในอดีต ความผิดที่ไปละเมิด ม. 112 มักความผิดทางสังคม ประชาชนกระทำไปโดยไม่มีเจตนา ไม่รู้กฎหมาย และโดยสุจริตใจ เมื่อความผิดขึ้นสู่การพิจารณาของระบบยุติธรรม ศาลท่านย่อมมีวิธีการวินิจฉัยและการพิจารณาตัดสินความพอปัจจุบัน วังวนทางการเมืองเข้ามากระทบต่อประชาชนมากขึ้น และละเมิดต่อม. 112 มากขึ้น ความผิดที่กระทบต่อ ม. 112 จึงมีลักษณะการเมืองมากขึ้นตามไปด้วยคนในวังวนการเมืองที่ทำความผิดจึงถูกนำขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมมากขึ้นก็เลยอยากแก้ไขกฎหมาย ส่วนคนไทยนับล้านคนที่ไม่เคยคิดละเมิดก็เห็นว่า ม. 112 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองศูนย์รวมใจดีอยู่แล้วคนไทยนับล้านคนมีรูปในหลวงติดบ้าน มีความสุขที่ได้เห็นศูนย์รวมใจที่ตนรักทุกวันก็ก็ย่อมจะยินดีที่ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองในหลวงของตนคนในวังวนการเมืองที่อยากแก้ไขก็จะยกอ้างความผิดทางสังคมที่ประชาชนละเมิดอย่างไม่รู้กฎหมายและโดยสุจริตเพื่อขอแก้ไข แต่กลับไม่ยกความผิดทางการเมืองขึ้นมากล่าวอ้างหากแยกความผิดละเมิดในลักษณะการเมืองออกมาได้ ก็จะพบว่าการละเมิดโดยสุจริตใจของประชาชนนั้นมีน้อยจริง ๆ ม. 112 ซึ่งเป็นกฎหมายเพื่อความสงบสุขในสังคมไทยจึงไม่ควรแก้ไขคนไทยยึดมั่นในหลวงเป็นศูนย์รวมใจอย่างไม่เสื่อมคลาย คนต่างชาติรู้ คนไทยที่มีรูปในหลวงกันทุกบ้านก็รู้ครับในวาระเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม 2558ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานสิทธิชัย ชวรางกูร
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ คนไทยหรือ คนต่างด้าวไม่ว่ากระทำในหรือนอกราชอาณาจักรก็ต้องรับโทษ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับเรื่อยมามีข้อที่กล่าวว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”

The Logistics

snp-386-02

ระดมกึ๋นพัฒนาแหลมฉบังระยะ 5 ปี วาดฝันขนส่งสินค้ารองรับโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าทางน้ำในปัจจุบันนี้ ถือว่ายังมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นการขนส่ง ที่สามารถบรรทุกสินค้าในปริมาณมากได้ รวมถึงมีการประหยัดด้านค่าใช้จ่ายได้มากเช่น กัน การท่าเรือแหลมฉบังได้มีการเปิดเวทีฟังความเห็นประชาชน เพื่อร่วมกันพัฒนา ท่าเรือระยะ 5 ปี บูรณาการการขนส่งมุ่งสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียน การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) โดย ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้ อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง เป็นประธานเปิดงานเสวนาระดมความคิดเห็น “การพัฒนา ท่าเรือแหลมฉบังอย่างยั่งยืน” เพื่อนำเสนอข้อมูลแผนการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมโดยรอบท่าเรือแหลมฉบัง รวมทั้ง เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมเสวนาได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นข้อมูลที่มี
ประโยชน์ด้านการพัฒนาพื้นที่ต่อไป โดยการเสวนาครั้งนี้ได้นำเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยรอบท่าเรือ แหลมฉบังในทุกโหมดการเดินทาง ทั้งระบบราง ระบบถนน และทางทะเล ภายใต้ กรอบการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมระยะเวลา 5 ปี ผ่านตัวแทนจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ร่วมงานสัมมนาดังกล่าว โดยเฉพาะการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งได้มีการนำเสนอการพัฒนาการขนส่งระบบรางในพื้นที่ภาคตะวันออก ประกอบด้วย โครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯหนองคาย-มาบตาพุด นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอมุมมองของภาคประชาชนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีปริมาณรถไฟที่ขนส่งอยู่ประมาณ 400,000 TEU/ปี หากมีการพัฒนาโครงการท่าเรือดังกล่าวนั้น คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่ม ขึ้นภายใน 4-5 ปี ได้ถึง 1,000,000 TEU/ปี โดยโครงการนี้เต็มขีดความสามารถ รองรับสินค้าได้กว่า 2,000,000 TEU/ปี นอกจากนี้ ร.ท.ยุทธนา โมกขาว ผู้ช่วยผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง ได้นำ เสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะเวลา 5 ปี โดย มีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ ท่าเรือแหลมฉบัง ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้างและจัดหาเครื่องมือยกขน คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี พ.ศ.2561 สำหรับมูลค่าการก่อสร้างท่าเทียบเรือชายฝั่งนั้น มีงบประมาณก่อสร้าง 1,864 ล้านบาท ส่วนโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟ งบประมาณก่อสร้าง 2,994 ล้านบาท ส่วนโครงการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร ภายในท่าเรือแหลมฉบัง งบประมาณ 1,136 ล้านบาท ซึ่งโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง สินค้าทางรถไฟ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการท่าเทียบเรือในการยกตู้สินค้า ขึ้นลงรถไฟ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2561 และจะพัฒนาโครงการในระยะ ที่ 2 ประมาณ พ.ศ.2564-2565 โครงการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อแก้ไข ปัญหาจราจรภายในท่าเรือแหลมฉบัง โดยเพิ่มช่องทางผ่านประตูตรวจสอบสินค้าและสิ่ง อำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะทำให้มีจำนวนช่องทางผ่านประตูตรวจสอบ สินค้ารวม 31 ช่องทาง สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าได้ที่ระดับ 10-11 ล้าน TEU/ปี นอกจากนี้ยังมีแผนการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในระยะยาว
ทั้งนี้ท่าเรือแหลมฉบังได้รับการยอมรับให้เป็นท่าเรือที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดย ใน ปี 2557 ท่าเรือแหลมฉบังมีตู้สินค้าผ่านมากที่สุดถึง 6.45 ล้าน TEU ถือเป็นอันดับ ที่ 23 ของโลก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อปี ส่งผลให้ ในปี 2565 จะมีปริมาณ สินค้าสูงถึง 9 ล้าน TEU ซึ่งหากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยรอบท่าเรือแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ.2564 ท่าเรือแหลมฉบังจะสามารถรองรับการขยายตัวดังกล่าวได้ ที่สำคัญ ท่าเรือแหลมฉบังจะกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบและศูนย์กลางโลจิ สติกส์ของภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
“สำหรับแผนการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2558- 2562) มีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง งบประมาณ 1,864 ล้านบาท โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง สินค้าทางรถไฟ (single rail transfer operator : SRTO) งบประมาณ 2,994 ล้านบาท โครงการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรภายในท่าเรือแหลมฉบัง งบประมาณ 1,136 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เป็นท่าเรือน้ำลึกหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง อ.ศรีราชา และ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อยู่ภายใต้การดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเรื่องการบริหารท่าเรือโดยรวม และมีเอกชนรับผิดชอบในเรื่องปฏิบัติการ เปิดดำเนินการท่าเทียบเรือ B1 เป็นท่าแรกเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2534 โดยท่าเรือแหลมฉบังได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐบาลในการเป็นท่าเรือหลักของประเทศแทนท่าเรือกรุงเทพฯตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ในปี พ.ศ.2551 มีปริมาณขนถ่ายสินค้าทั้งสิ้น 4,629,244.70เมตริกตัน มีปริมาณเรือเทียบท่ากว่า 8,118 ลำ อย่างไรก็ตาม บริเวณโดยรอบท่าเรือแหลมฉบังได้รับการพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจแหลมฉบัง ซึ่งมีการพัฒนาที่พักอาศัย สาธารณูปโภคการคมนาคมขนส่ง นิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนศูนย์ราชการ เพื่อการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคต”ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีแผนโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบังอยู่ในพื้นที่ Zone 4 อยู่ระหว่างท่าเทียบเรือชุด B และชุด C ซึ่งสำรองไว้เพื่อใช้สำหรับ
พัฒนาเป็นศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (Rail Transfer Terminal) ของท่าเรือแหลมฉบังเป็นการเฉพาะจำนวนเนื้อที่ประมาณ 600 ไร่ (จะใช้ในครั้งนี้ประมาณ 370 ไร่ และสำรองไว้อีกประมาณ 230 ไร่) โดยลักษณะของ Rail Yard ที่จะก่อสร้างนั้น จะมีการติดตั้งรางรถไฟลักษณะเป็นพวงรางจำนวน 6 ราง แต่ละรางมีความยาวในช่วง 1,278-1,725เมตร ซึ่งสามารถจอดขบวนรถไฟที่บรรจุตู้สินค้าขบวนละ 34 แคร่ ได้รางละ 2 ขบวน รวมเป็น 12 ขบวน ในเวลาเดียวกัน โดยติดตั้งเครื่องมือยกขนตู้สินค้าชนิดเดินบนราง (RailMounted Gantry Crane : RMG) ที่สามารถทำงานคร่อมรางรถไฟได้ทั้ง 6 รางในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะมีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ถึง 2.0 ล้านทีอียู/ปี

ที่มา : http://www.ryt9.com/s/bmnd/2310244

AEC Info

snp-386-03

สินค้าโอท็อปเชื่อมเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา

มูลค่าการค้าบริเวณชายแดนด่านถาวร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ถือว่าเป็นการค้าชายแดนที่สำคัญอันดับ 2 รองจากด่านถาวร อ.แม่สอด จ.ตาก แต่ละปีมีมูลค่าผ่านด่านแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาทแต่หลังเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปลายปีนี้จะมีมูลค่าพุ่งทะลุกว่าแสนล้านบาทล่าสุด เพ็ญศรี เจริญสุทธิพันธ์ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน พร้อม โกซูม ซาเรือด ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา และ ธรรมศักดิ์รัตนธัญญา รอง ผวจ.สระแก้ว ได้จัดมหกรรมสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โอท็อป เพื่อสานสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-กัมพูชา ที่บริเวณสวนสาธารณะ จังหวัดบันเตียเมียนเจยประเทศกัมพูชา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-6 ธ.ค. 2558
เพ็ญศรี กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชนได้จัดสรรงบประมาณ จัดทำโครงการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โอท็อป สานสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-กัมพูชา ประจำปีงบประมาณ 2559 เพื่อให้กลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการโอท็อป ได้เผยแพร่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มช่องทางการจำหน่าย เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน สร้างความสัมพันธ์อันดีงาม ความสามัคคีระหว่างกันด้าน ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า โครงการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโอท็อป สานสัมพันธ์สองแผ่นดิน เป็นการส่งเสริมสินค้าโอท็อป ให้เป็นที่รู้จักของประเทศเพื่อนบ้าน
และมีช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น อีกทั้งเป็นการพัฒนาผู้ผลิตและผู้ประกอบการ ของจ.สระแก้ว ให้มีทักษะด้านการค้าขาย เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อไปขณะที่ มงคล ปัตลา พัฒนาการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสระแก้ว ได้นำผู้ผลิตและผู้ประกอบการสินค้าโอท็อป ของ จ.สระแก้ว จำนวน68 ราย เข้าร่วมจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโอท็อป สานสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-กัมพูชาจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ได้ให้ความร่วมมือในการจัดงานเป็นอย่างดีสำหรับสินค้าโอท็อปของ จ.สระแก้ว ที่นำมาแสดงและจำหน่ายมีสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น หมูยอ แหนม ขนมไข่โบราณ น้ำพริก น้ำสมุนไพร ไก่สมุนไพร ผ้าขาวม้า เป็นต้น ด้านทางจังหวัดบันเตียเมียนเจย ได้จัดนำสินค้าพื้นเมืองมาจำหน่ายเช่นกันสำหรับบรรยากาศทั่วไปมีประชาชนชาวกัมพูชาเดินเลือกชมและซื้อสินค้าจำนวนมากเป็นไปอย่างคึกคัก โดยประชาชนชาวกัมพูชาที่มาเลือกซื้อสินค้าสามารถใช้เงินสกุลบาทไทย หรือเงินสกุลเรียลของกัมพูชา ซื้อสินค้าได้เช่นกัน

ที่มา : http://www.posttoday.com/biz/aec/402964

เอกชนขานรับมาตรการแก้ปัญหาค่าครองชีพให้ประชาชน ลดราคาสินค้า 274 รายการพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงมาตรการเร่งด่วนเรื่องการแก้ปัญหาค่าครองชีพของประชาชนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยการดำรงชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชนมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินนโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพของประชาชนโดยร่วมกับภาคเอกชน ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคตามสัดส่วนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงโดยไม่บิดเบือนกลไกการตลาด เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับพี่น้องประชาชนโดยนับตั้งแต่ ต.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่กว่า 30 ราย ในการลดราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน 274รายการ บางรายการลดสูงสุดถึง 33% ประกอบด้วย อาหารและเครื่องดื่ม 108รายการ, วัสดุก่อสร้าง 35 รายการ, ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (น้ำมันหล่อลื่น) 101รายการ และยางรถยนต์ 30 รายการ โดยประชาชนสามารถซื้อสินค้าได้ตามห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั่วประเทศ“ขอขอบคุณผู้ผลิตที่เข้าใจ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปฏิบัติตามนโยบาย
ของรัฐบาล เพื่อการสร้างความเป็นธรรมทางการค้า และลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน โดยการแจ้งลดราคาสินค้าอย่างสมเหตุผลและเป็นไปตามกลไกตลาด จึงขอเชิญชวนให้ผู้ผลิตรายอื่นๆ ร่วมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เพราะนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับพี่น้องประชาชนแล้ว ยังส่งผลคุยข่าวเศรษฐกิจ

คุยข่าวเศรษฐกิจ

snp-386-04

ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกด้วย”โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมระบุว่า ในระหว่างวันที่ 17-27 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ รัฐบาลยังได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ากว่า 13,000 สาขาทั่วประเทศ จัดรายการ “เทใจ คืนสุข เทศกาลปีใหม่” โดยลดราคาสินค้าทุกชั้นทุกแผนกสูงสุด 70% เพื่อส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ให้แก่พี่น้องชาวไทยทุกคน

ที่มา : http://www.ryt9.com/s/iq03/2306993