SNP NEWS

ฉบับที่ 558

Follow Us :     เพิ่มเพื่อน  

CEO ARTICLE

ไพ่อภิสิทธิ์

“ชัด ๆ เลยนะครับ ผมไม่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน เพราะการสืบทอดอำนาจสร้างความขัดแย้ง และขัดกับอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ที่ว่าประชาชนเป็นใหญ่ 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจย่ำแย่ ประเทศเสียหายมามากพอแล้ว”

ข้อความข้างต้นคือคำประกาศของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปชป. ราว 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 จากนั้นก็ประกาศตามมาว่า ‘จะไม่ทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน’
ก่อนหน้านั้นราวปลายปี 2561 คุณอภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. ‘หากได้จำนวน ส.ส. ไม่ถึง 100 คนในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ คุณอภิสิทธิ์จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค’
คำประกาศที่จะไม่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ ให้เป็นนายกฯ ต่อไปครั้งนี้ แฟน ปชป. และนักวิจารณ์การเมืองดูอาจจะเป็นการโดดเดี่ยว พล อ. ประยุทธ์ และพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ดูจะเป็นการโดดเดี่ยว ปชป. ไปในตัว
มันจึงดูขัด ๆ กับสภาพการณ์ทางการเมืองในเวลานี้อย่างสิ้นเชิง
สภาพการณ์การเมืองเวลานี้แบ่งเป็น 3 ก๊ก คือกลุ่มคุณทักษิณที่มีพรรคเพื่อไทย หรือ พท. เป็นหลัก กลุ่มที่สนับสนุน พล. อ. ประยุทธ์ ที่มีพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร. เป็นหลัก และกลุ่มที่มีพรรคประชาธิปัตย์หรือ ปชป. เพียงพรรคเดียว
นักวิเคราะห์ทั้งหมดต่างคาดการณ์เหมือนกันว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ออกแบบให้จำนวน ส.ส. ถูกแบ่งสรรปันส่วนออกไปเกือบทุกพรรค ผลการเลือกตั้งจะไม่มีพรรคใดได้เสียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว
รัฐบาลที่เกิดใหม่จะเป็นรัฐบาลผสม กลุ่มที่สนับสนุน พล. อ. ประยุทธ์ก็จะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลมากที่สุดและพรรค ปชป. จะอยู่ในฐานะตัวเลือกให้เข้าร่วมมากที่สุดเช่นกัน
การประกาศของคุณอภิสิทธิ์ 2 ครั้งที่ดูเหมือนการตีไพ่ 2 ใบในเวลาไล่เลี่ยกันอาจเป็นการปิดทางตนเอง แต่เพราะอะไร และทำไมคุณอภิสิทธิ์จึงเลือกตีไพ่ทั้ง 2 ใบนี้ ???
ในฐานะที่คุณอภิสิทธิ์เป็นบุคคลสาธารณะไม่ต่างไปจาก พล อ. ประยุทธ์ และคุณทักษิณ การนำผลการตัดสินมาวิเคราะห์จึงเป็นเรื่องธรรมดา

ไพ่ใบที่ 1 “จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคหากได้จำนวน ส.ส. ไม่ถึง 100 คน”
ไพ่ใบนี้ หากมองว่าเป็นการประกาศด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติยศของหัวหน้าพรรคการเมือง นั่นย่อมหมายความว่าพรรคการเมืองนั้นต้องมีประชาชนเป็นเจ้าของ และการเลือกหัวหน้าพรรคใหม่แทนคนที่ลาออกไปก็ต้องมีประชาชนเข้ามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงเท่านั้น
พรรคใดที่เป็นสมบัติของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะย่อมไม่สามารถประกาศอย่างนี้ได้ นอกจากเจ้าของพรรคสั่งให้ทำ และต้องทำตามเจ้าของพรรคเท่านั้น
คุณอภิสิทธิ์ทิ้งไพ่ใบนี้เพื่อให้ประชาชนที่เป็นแฟนรู้ว่า พรรค ปชป. เป็นของประชาชน หากคุณอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคไม่สามารถสร้างผลงานให้ได้จำนวน ส.ส. เกินกว่า 100 คน ก็ควรลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค
การประกาศนี้ก็เพื่อให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของพรรครับรู้
อีกเหตุผลหนึ่ง คุณอภิสิทธิ์รู้ว่า ฐานเสียงของ ปชป. และ พชปร. มีการทับซ้อนกัน แต่ยังมีคนที่ยึดมั่นใน ปชป. อีกมาก และมีคนลังเลใจอีกส่วนหนึ่ง
การทิ้งไพ่ใบที่ 1 นี้จะเรียกความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กลับมาที่ ปชป. ได้
หากไม่สามารถนำพาพรรคให้ได้จำนวน ส.ส. เกินกว่า 100 คน นอกจากไม่สมควรเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปแล้ว ยังไม่ควรรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอีกด้วย
ไพ่ใบที่ 1 นี้จึงเป็นการรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีพรรค ของตน และของประชาชนที่สนับสนุนพรรค ปชป.
ไพ่ใบที่ 2 “จะไม่สนับสนุน พล อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และจะไม่ทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย”
ไพ่ใบที่ 2 นี้เมื่อตีออกไปกลับถูกประชาชนในส่วนทับซ้อนระหว่าง ปชป. และ พปชร. วิจารณ์กันหนักในประเด็นที่โดดเดี่ยวตัวเอง ปิดทางตัวเอง ขณะที่นักวิเคราะห์ทางการเมืองต่างก็มีมุมมองกันหลากหลาย
แต่คุณอภิสิทธิ์ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างอย่างแน่นอน
ประการแรก หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างมองในมุมเดียวกันว่า พล อ. ประยุทธ์มีโอกาสเป็นนายกฯ ต่อสูง เนื่องจากกติกาในรัฐธรรมนูญใหม่ที่ ส.ว. มีสิทธิ์ร่วมโหวตด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ หาก ปชป. ถูกเชิญให้ร่วมรัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อนคงไม่ลดตัวเองมารับตำแหน่งที่ต่ำกว่านายกรัฐมนตรีเลียนแบบผู้อื่นที่เคยทำ
สำหรับคุณอภิสิทธิ์ ในปี พ.ศ. 2562 นี้ ศักดิ์ศรีและเกียรติยศทั้งของตนเอง ของพรรค และของประชาชนที่สนับสนุนต้องมาก่อน
มันต่างจากอดีต และมันก็หมดเวลาเกรงใจตามที่ประกาศไว้ การประกาศไม่สนับสนุนก็เพื่อยืนยันว่า หากคุณอภิสิทธิ์จะรับตำแหน่งก็ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว
ประการที่สอง หลังการเลือกตั้ง หากการประกาศของคุณอภิสิทธิ์ทำให้การเมือง 3 ก๊กถึงทางตัน ไม่ว่า พท. หรือ พปชร. ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หากเป็นเหตุผลนี้ ไม่ว่า ปชป. จะได้จำนวน ส.ส. เกิน 100 คน หรือน้อยกว่า นักวิจารณ์หลายคนเชื่อว่า ด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติยศจะทำให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรค ปชป. และไม่รับตำแหน่งใด ๆ อยู่ดี
การลาออกก็จะมีผลให้ ปชป. ต้องเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่และหัวหน้าคนใหม่ก็อาจเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล อ. ประยุทธ์ได้เพื่อแก้ไขวิกฤติทางตันของบ้านเมืองที่ต้องมีรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ประเด็นนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ที่อาจเป็นไปได้เท่านั้น
ประการที่สาม ฐานเสียงของ ปชป. และ พปชร. ส่วนหนึ่งทับซ้อนกัน ส่วนที่ยึดมั่นกับ ปชป. อยู่แล้วก็จะยังคงเลือก ปชป. ต่อไป การทิ้งไพ่ใบที่ 2 นี้ จะทำให้ฐานเสียงที่ลังเลใจมีความชัดเจนในตัว หากใครเอนเอียงไปทาง พปชร. มากกว่าก็จะไม่เลือก ปชป. อยู่ดี
แต่หากเชื่อมั่นใน ปชป. ให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คะแนนก็จะไหลมาทาง ปชป. มากขึ้นจนมีโอกาส มีศักดิ์ศรี และมีเกียรติยศในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้
ประการที่สี่ การเมืองย่อมมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นตลอดเวลาที่อาจทำให้ พล อ. ประยุทธิ์ ไม่สามารถรับตำแหน่งนายกฯ ต่อไปได้ หรืออาจลาออกจากตำแหน่งภายหลังการรับตำแหน่งก็ได้
วันนั้น คุณอภิสิทธิ์จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของ พปชร. ในการเข้าร่วมโดยคุณอภิสิทธิ์ยังมีโอกาสเป็นนายกฯ ในสภาชุดนี้ได้
ประการที่ห้า พล อ. ประยุทธ์ไม่ใช่นักการเมือง นักวิเคราะห์มองแบบนี้ คุณอภิสิทธิ์ก็มองแบบนี้ แต่ในพรรค พปชร. มีนักการเมืองมารวมกันหลายพรรคจนอาจคุมไม่อยู่

ไม่ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือ พล อ. ประยุทธ์ต้องการคนช่วยในตำแหน่งนายกฯ คุณอภิสิทธิ์จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะในสภาชุดนี้จะมีพรรคการเมืองที่ได้เสียง ส.ส. เกิน 25 คน ที่สามารถเสนอแคนดิเดทนายกฯ เพียงไม่กี่พรรคเท่านั้น
หากพิจารณาตามหลักการและเหตุผลข้างต้น แล้วคุณอภิสิทธิ์ไม่ตีไพ่ 2 ใบที่ว่านี้ออกไป รูปการณ์ที่กำลังจะออกมาก็ใกล้เคียงข้างต้นอยู่แล้ว
คุณอภิสิทธิ์ก็อาจมองในมุมนี้จึงตีไพ่ 2 ใบนี้ออกไปแบบนี้ก็ได้
หากจะมองว่า คุณอภิสิทธิ์ตีไพ่ 2 ใบนี้คล้ายเอาแต่เล่นการเมืองโดยไม่สนใจความเสียหายของบ้านเมืองก็อาจมองได้
แต่หากพิจารณาว่า คุณอภิสิทธิ์ได้นั่งมองการบริหารของ พล อ. ประยุทธ์ มา 5 ปี เป็นการมองอย่างคนมีประสบการณ์ มองอย่างคนต้องการป้องกันความเสียหายจนอยากเข้ามาแก้ไข
มุมมองนี้ก็มองได้อีกเช่นกัน
ด้วยเหตุผลข้างต้น นักวิจารณ์การเมืองส่วนหนึ่งจึงมองว่า ไพ่ใบที่ 2 จึงถูกตีออกไป
ไพ่ 2 ใบ ที่ถูกตีออกไป เชื่อว่า คุณอภิสิทธิ์ย่อมมองเรื่องราวต่าง ๆ ออกในฐานะของคนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน
การวิจารณ์ก็คือการวิจารณ์ ส่วนการตีไพ่ 2 ใบจะเป็นจริงหรือไม่ ก็คงต้องดูภายหลังการเลือกตั้งและการชิงไหวชิงพริบในทางการเมืองของพรรคการเมืองต่าง ๆ แบบ 3 ก๊กไทยที่อาจสนุกกว่า 3 ก๊กจีนก็ได้

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

LOGISTICS

ฝูเจี้ยนเร่งพัฒนาการขนส่ง สนับสนุนการค้าตามแนวทางเส้นทางสายไหมทางทะเล

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561 มณฑลฝูเจี้ยน (หรือที่คนไทยรู้จักในนาม ฮกเกี้ยน) ได้เปิดเส้นทางขนส่งทางนํ้าที่อยู่บนเส้นทางสายไหมทางทะเลอีก 18 เส้นทาง ทำให้บัจจุบันมีเส้นทางเดินเรือทั้งหมด 34 เส้นทาง เชื่อมต่อกับท่าเรือสำคัญตามเส้นทาง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” มากขึ้น มณฑลฝูเจี้ยนมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งใน 2 ปี ข้างหน้า โดยจะลงทุน 149,700 ล้านหยวน ในโครงการสำคัญ 8 รายการ โดยการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งตาม “เส้นทางสายไหมทางทะเล” ก็เป็นหนึ่งใน 8 โครงการสำคัญนั้น

ทั้งนี้ ท่าเรือสำคัญในมณฑลฝูเจี้ยน ที่อยู่บนเส้นทางสายไหมทางทะเล ได้แก่ ท่าเรือฝูโจว และท่าเรือเซี่ยเหมิน ด้วยเหตุนี้ท่าเรือดังกล่าวจะได้รับการพัฒนาด้วยเช่นกัน และผลจากการดำเนินการตามแผนดังกล่าว คาดว่าปี 2563 ท่าเรือในเขตมณฑลฝูเจี้ยน จะรองรับการขนส่งสินค้า 800 ล้านตันต่อปี ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ 18 ล้านตู้ต่อปี สามารถจอดเรือลำใหญ่ที่สุดในโลก เช่น เรือบรรทุกนํ้ามัน 450,000 ตัน เรือบรรทุกสินค้าขนาด 400,000 ตัน และเรือคอนเทนเนอร์ 200,000 ตัน

นอกจากนี้ รัฐบาลฝูเจี้ยนยังสนับสนุนการพัฒนาท่าเรือบกในมณฑลเจียงซีและหูหนาน (มณฑลที่ไม่ติดทะเล) ให้สามารถเชื่อมต่อกับท่าเรือในมณฑลฝูเจี้ยนก่อนจะเชื่อมต่อกับท่าเรืออื่นๆในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นช่องทางการค้าระหว่างประเทศขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงทางบกและทางนํ้า ทางตะวันออก – ตะวันตก อีกทั้งรัฐบาลฝูเจี้ยนจะเร่งการสร้างความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์กับท่าเรือต่างประเทศอีกด้วย
คุณหลี่ หนาน(Li Nan) ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของ บริษัท Fujian Silk Road Maritime Operation จำกัด กล่าวว่า แผนการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพการขนส่ง “เส้นทางสายไหมทางทะเล”ในอนาคต จะทำให้ท่าเรือเซี่ยเหมินมีเส้นทางเดินเรือ ทั้งหมด 57 เส้นทาง เชื่อมต่อ 48 ท่าเรือใน 22 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการค้าระหว่างจีนกับประเทศคู่ค้ารวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบเรือสำราญอีกด้วย

ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ท่าเรือสำราญเซี่ยเหมินได้รองรับเรือสำราญระดับนานาชาติที่วิ่งผ่านประเทศบนเส้นทาง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเมื่อปี 2561 ท่าเรือเซี่ยเหมินมีเรือสำราญ 96 ลำ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 YoY) มาเทียบท่า รองรับนักท่องเที่ยว 3.248 แสนคน (เพิ่มขึ้น 100.8 YoY ) นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเร็วนี้ๆ สำนักงานบริหารท่าเรือ เซี่ยเหมินได้ประกาศว่า ท่าเรือเซี่ยเหมินจะต้อนรับผู้โดยสารของเรือสำราญมากกว่า 4 แสนคน

ประมวลโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน
ที่มา: https://www.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view.php?filename=contents_attach/541827/541827.pdf&title=541827&cate=413&d=0