SNP NEWS

ฉบับที่ 561

Follow Us :     เพิ่มเพื่อน  

CEO ARTICLE

พ่อของฟ้า

‘ .. ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง .. ฉะนั้น จึงขอให้ทั้งสองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ให้ช่วยแก้ปัญหาปัจจุบันคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยได้กลับคืนมาด้วยดี .. ’

ข้อความข้างต้นคือ พระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พ่อของปวงชนชาวไทยที่ได้ทรงพระราชทานแก่ พล.อ. สุจินดา คราประยูร และ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ในเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง เดือนพฤษภาคม 2535 หลังจากนั้น ความวุ่นวายก็สงบลง (https://www.posttoday.com/politic/report/464041)
ความวุ่นวายทางการเมืองของทุกประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่จะมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังโดยการชักจูงประชาชน แล้วนำประชาชนมาแอบอ้าง
ความวุ่นวายใดที่กลายเป็นวิกฤติ ก็มักจบลงบนความสูญเสียของประชาชนผู้เข้าร่วมเองรวมถึงความเสียหายอย่างมหาศาลของประเทศนั้น
ในประเทศไทยสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็เกิดขึ้นหลายครั้ง เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่กลายเป็นวิกฤติก็มีความสูญเสียและความเสียหายไม่ต่างกัน
แต่ที่ต่างจากประเทศอื่นคือ ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์
ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ลุกลามเข้าสู่วิกฤติ ในหลวงของไทยจะทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัส จากนั้นวิกฤติที่ลุกลามก็สงบโดยพลัน
นี่คือ ‘ความวิเศษ’ ของประเทศไทย
ชาวต่างชาติมองเห็น ‘ความวิเศษ’ นี้ มองเห็นความรักที่พ่อมีต่อลูก ความเคารพที่ลูกมีต่อพ่อที่สืบต่อกันมาจนกลายความสงบสุข เป็นสยามเมืองยิ้ม และต่างก็ยกย่องในหลวงและคนไทย
ประเทศอื่นแม้จะมีสถาบันพระมหากษัติรย์เช่นเดียวกับประเทศไทย แต่ก็ไม่มีความวิเศษดังกล่าวจนทำให้ประเทศอื่นทั่วโลกต่างยกย่องประเทศไทย
คนไทยจึงนับถือในหลวงในฐานะ ‘พ่อของไทย’
รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดในการปกครองของทุกประเทศ การจะรักษาความวิเศษนี้ไว้ รัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับจึงมีมาตราหนึ่ง เช่น มาตรา 112 ที่บัญญัติขึ้นเพื่อปกป้องความเป็น ‘พ่อของไทย’ และเพื่อคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์
ประเทศอื่นไม่มีความวิเศษนี้ รัฐธรรมนูญจึงไม่มีมาตราการปกป้องอย่างชัดเจน

ทุกประเทศทั่วโลกต่างมีทรัพยากรที่แตกต่างกัน ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเชียน มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย มีรายได้จากภาษีอากร มีงบประมาณ และมีกำลังตำรวจ ทหาร และข้าราชการในการพัฒนาประเทศ
ในระบอบประชาธิปไตย ทรัพยากรเหล่านี้จำเป็นต้องมีนักการเมืองเข้ามาจัดสรรประโยชน์ให้เกิดประโยชน์สู่ประชาชน
นักการเมืองจึงต้องมีอำนาจในการออกกฎหมายและการบริหารประเทศ
การช่วงชิงอำนาจ ด้านหนึ่งนักการเมืองก็เสนอนโยบายที่ดีให้ประชาชนเลือก อีกด้านหนึ่งก็ทำลายคู่ต่อสู้ด้วยการสร้างวาทกรรมทำลายทั้งในทางลับและทางแจ้ง
เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
การต่อสู้แข่งขันย่อมมีแพ้และชนะ แพ้แล้วก็รอการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ แต่การต่อสู่ทางการเมืองในประเทศไทยมาถึงวันนี้กลับกลายเป็นยุคของ ‘การแพ้ไม่ได้’
ความต้องการอำนาจเพื่อจัดการเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยทำให้การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองยิ่งพัฒนาไปไกล ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในวันนี้ก็คือ การสร้างวาทกรรมที่เลวร้ายทั้งภาพ เสียง และเรื่องราวให้ปล่อยไปไกลในโลกโซเซียล
วาทกรรมที่เลวร้ายทางการเมืองมักเป็นคำพูดที่สวยหรู มีความจริงส่วนหนึ่ง หากมองในภาพรวมจะขาดหลักการ ขาดเหตุผล
แต่วาทกรรมที่เลวร้ายกลับสร้างความเสียหายยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู
เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิของญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ถูกทำลายในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ระเบิดปรมาณูกลับไม่สามารถทำลายความสามัคคีของญี่ปุ่นให้แตกแยกลงได้ แต่วาทกรรมที่เลวร้ายทางการเมืองสามารถทำลายความสามัคคี ทำลายความสงบสุข และทำลายทั้งประเทศได้
วาทกรรมที่เลวร้ายจึงร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณูนับร้อยนับพันเท่า
ประชาชนที่รู้ไม่เท่าทันย่อมเสพวาทกรรมที่เลวร้ายโดยไม่ไตร่ตรอง แล้วก็ตกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองชักจูงและนำไปกล่าวอ้าง
การหว่านล้อม การชักจูงประชาชนให้ออกมาชุมนุมจึงเกิดขึ้นทั้งก่อนเลือกตั้ง ระหว่างและภายหลังการเลือกตั้งด้วยวาทกรรมที่ขาดเหตุผล
หากประชาชนหลงเชื่อวาทกรรมที่เลวร้าย ไม่ไตร่ตรอง และออกมาชุมนุม เหตุการณ์ก็อาจเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจกลายเป็นวิกฤติได้อีก
วาทกรรมเลวร้ายที่แพร่หลายมากมาย เช่น การแบ่งแยกฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายเผด็จการ การโจมตีว่าศาลไม่ยุติธรรมเมื่อแพ้คดี แต่กลับบอกยุติธรรมเมื่อชนะคดี การทำผิดแล้วกล่าวหาว่าศาลกลั่นแกล้ง ศาลหรือ กกต. ไม่เป็นกลาง หรือศาลเป็นเครื่องมือของเผด็จการโดยไม่มีหลักฐาน
การอ้างคะแนนเสียงที่ได้ 10 ล้านแล้วบอกว่าประชาชนทั้งประเทศหนุน การแสดงภาพอันไม่บังควรของตนเองกับเชื้อพระวงศ์ระดับสูงเพื่อบอกว่า นี่คือความจงรักภักดีจนกระทบต่อสถาบัน
ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากนักการเมืองเลวเพื่อสร้างความแตกแยก แล้วตนเองจะได้ผู้สนับสนุนจากความแตกแยกที่อาจลุกลามซ้ำรอยไปสู่วิกฤติโดยไม่ใส่ใจความเสียหายต่อประเทศชาติ
ความแตกแยกยิ่งมาก นักการเมืองเลวก็ยิ่งได้ประโยชน์มาก
วันนี้ ในหลวง ร. 9 ที่เคยเป็น ‘พ่อของไทย’ ต้องลาจากคนไทยไปเป็น ‘พ่อของฟ้า’ แล้ว
ในหลวง ร. 9 ทรงเสียสละพระวรกาย ทรงพัฒนาประเทศเพื่อคนไทยที่ยากจน ในหลวงที่คนต่างชาติต่างให้การยอมรับสรรเสริญ เป็นต้นแบบให้คนต่างชาติทำตาม ในหลวงที่มีแต่คุณงามความดีที่เป็น ‘พ่อของไทย’ แต่วันนี้ได้กลายเป็น ‘พ่อของฟ้า’ แล้ว
คนไทยส่วนหนึ่งจึงอาจลืมเลือนท่านแล้วยึดติดกับนักการเมืองแทนที่
วันนี้ ระบบพระมหากษัตริย์ของไทยมีในหลวง ร. 10 ขึ้นเป็นศูนย์รวมของสถาบันแทน แต่นักการเมืองที่เลวร้ายก็ยังไม่สำนึก ยังพยายามสร้างความแตกแยกเรื่อยมา
การแยกความสงบสุขออกไป การแยกประชาชนออกจากสถาบัน การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพื่อสร้างความแตกแยกของประชาชนให้ตนเองชักจูงได้ง่าย ทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น
ผลประโยชน์ที่ทำให้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งจะได้อำนาจมา วาทกรรมที่เลวร้ายทางการเมืองจึงยังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
ความสงบสุขในภาพรวมของประเทศไทยจึงเลือนลางลง
หากวันนี้ นักการเมืองรักคนไทยจริง หวังดีต่อประเทศไทยจริง นักการเมืองดีต้องหยุดสร้างวาทกรรมที่เลวร้าย ต้องไม่หยิบยื่นแต่ความแตกแยกให้คนไทย
หากวันนี้ คนไทยยังต้องการความสงบสุข ต้องการให้ไทยเป็นสยามเมืองยิ้ม คนไทยก็ต้องระลึกถึง ‘พ่อของฟ้า’ แล้วยึดมั่นในหลวง ร. 10 ให้เป็นศูนย์กลาง
ประชาชนต้องต้องไม่เนรคุณต่อประเทศ ต้องไม่เสพวาทกรรมที่เลวร้าย และต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองเลว
เพียงยึดมั่นต่อ ‘พ่อของฟ้า’ นักการเมืองเลวก็ไม่สามารถขึ้นมามีอำนาจได้
ความสงบสุุขเหล่านี้จึงเป็นเรื่องของประชาชนที่จะเลือกขึ้นมาเพื่อตัวประชาชนเอง

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

ป.ล. ขอให้คนไทยมีความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย และสงกรานต์ 2562 และให้มีแต่ความสงบสุขตลอดไป

LOGISTICS

จีนสร้างเรือบรรทุก LNG ใหญ่สุดในโลก รับกระแสความต้องการพลังงานสะอาด

จีนกำลังสร้างเรือบรรทุกก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ซึ่งจะทำสถิติลำใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสามารถบรรทุก เท่ากับ 270,000 คิวบิกเมตร เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดที่พุ่งสูงขึ้น

บริษัทหูตง-จงหวา ชิปบิวดิ้ง กรุ๊ป (Hudong-Zhonghua Shipbuilding) ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการต่อเรือของ ไชน่า สเตท ชิบบิวดิ้ง คอร์พอเรชั่น (China State Shipbuilding Corporation) ได้จับมือกับสมาคมมาตรฐานเรือในนอร์เวย์ DNV-GL ดำเนินการต่อเรือบรรทุก LNG ทั้งนี้จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในบริษัทระหว่างการประชุมและการแสดงสินค้าระหว่างประเทศ เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติเหลวในนครเซี่ยงไฮ้เมื่อวันอังคาร (2 เม.ย.) ตามข้อตกลงระบุว่าการวิจัยและการพัฒนาเรือลำใหม่นี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2020 ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจสร้างเรือขนาดใหญ่ยักษ์ เนื่องจากความต้องการพลังงานสะอาดภายในประเทศจีนกำลังขยายตัว และเหตุผลอื่นๆที่ตัดสินใจสร้างเรือบรรทุกขนาดใหญ่พิเศษนี้ คือสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminals) ตามเมืองชายฝั่งในจีน มีจำนวนจำกัด การเดินทางระยะไกล และการขนส่งในตู้คอนเทนเนอร์แช่เย็น จีนได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศและนิทรรศการแสดงเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติเหลว ครั้งที่ 19 (International Conference & Exhibition on Liquefied Natural Gas) ในเซี่ยงไฮ้ การประชุมเริ่มเมื่อวันอังคาร(2 เม.ย.) โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีของประวัติศาสตร์การจัดอีเว้นท์นี้ ที่จัดขึ้นในประเทศจีน

“เมื่อปีที่แล้ว จีนนำเข้า LNG มากกว่า 53 ล้านตัน ซึ่งทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ โดยคิดเป็นสัดส่วน 60 เปอร์เซ็นต์ของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวทั้งหมด” จง เจี้ยนหวา หัวหน้าคณะกรรมาธิการพลังงานแห่งชาติกล่าวให้การให้สัมภาษณ์กับสื่อจีน หยาง หวา ประธานบริษัทซีนุก (China National Offshore Oil Corp /CNOOC) กล่าวว่าก๊าซธรรมชาติเหลวจะมีบทบาทสำคัญในการผลิตภาคพลังงานจีนและการบริโภคพลังงาน จนถึงปัจจุบัน จีนได้นำเข้า LNG มากกว่า 230 ล้านตัน ทำให้จีนกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม LNG ของโลก

ที่มา: http://www.marinerthai.net/forum/index.php?topic=12181.0