CEO ARTICLE

ห่วงโซ่น้ำตา


Follow Us :

    

“กอดคอร่ำไห้ … น้ำตาพนักงาน สกสค. ถูกเลิกจ้าง”

สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวพนักงาน สกสค. ถูกเลิกจ้างจำนวน 961 คน ดังขึ้นตามสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ ทีวี โลกออนไลน์จนเป็นที่วิจารณ์ไปทั่ว
นี่ไม่ใช่น้ำตาแรกที่ไหลนองในช่วงการแพร่ระบาด Covid-19 ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการถูกเลิกจ้าง การเลิกกิจการมาหลายแห่ง และมีน้ำตาไม่ต่างจาก สกสค. ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว
มันจึงเป็นน้ำตาที่ไหลต่อกันมาอย่างเป็นห่วงโซ่บนความทุกข์ยากในยามนี้
วันนี้ ยอดผู้ติดเชื้อของโลกไปไกลเกินกว่าหยุดยั้ง มันทะลุเกิน 11 ล้านคนไปแล้ว เอาแค่สหรัฐก็ติดเชื้อเพิ่มวันละมากกว่า 50,000 คน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตททั่วโลกก็มากกว่า 5 แสน
วันหนึ่ง ๆ จะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกิน 100,000 ราย และเพิ่มขึ้นอีกอย่างน่ากลัว
ไม่ว่าจะเปลี่ยนทีม 4 กุมาร เปลี่ยนม้ากลางศึก หรือใครมาเป็นรัฐบาล ใครเป็นรัฐมนตรีก็ต้องเยียวยาต้องซับน้ำตาให้ได้ จะทำอย่างเก่าไม่ได้ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ โลกนี้เปลี่ยนไปมาก

สกสค. มีชื่อเต็มเรียกว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นองค์การมหาชน เป็นนิติบุคคลในกำกับของกระทรวงศึกษาซึ่งมีรูปแบบการบริหารที่แฝงด้วยระบบราชการ และคล้ายกับบริษัท การบินไทย (มหาชน) จำกัด
เดิม สกสค. คือองค์การการค้าคุรุสภาซึ่งเป็นผู้บริหารร้าน “ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์” และทำหน้าที่ดูแล “สวัสดิการ-สวัสดิภาพ-สิทธิประโยชน์-ช่วยเหลือ” ให้กับผู้มีอาชีพทางการศึกษา
รายได้หลักของ สกสค. คือผลิตและจำหน่ายหนังสือและสินค้าทางการศึกษา อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ สารเคมี สื่อการศึกษา เครื่องแบบ เครื่องใช้นักเรียน และอื่น ๆ ทางการศึกษา
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การแข่งขันก็มีเอกชนเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายในโลกออนไลน์ สกสค. จึงสู้เอกชนลำบาก มาถึงวันที่ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 961 คน สังคมจึงได้รับรู้กันว่า สกสค. มีสภาพขาดทุนสะสมนับพันล้านบาทจึงต้องลดคน ลดรายจ่าย
ประชาชนทั่วไปรับข่าวแล้วก็ไม่ได้รู้สึกกระทบอะไรโดยตรง แต่คนในครอบครัวของผู้ถูกเลิกจ้างที่รวมพ่อแม่และลูก ๆ แล้วก็น่าจะมีมากกว่า 5 พันคนต้องได้รับผลกระทบแน่
น้ำตาของคน 961 คนจึงส่งผลให้เกิด “ห่วงโซ่น้ำตา” แก่คนมากกว่า 5 พันตามไปด้วย
คนมากกว่า 5 พันขาดรายได้ก็ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคหายไปอย่างเป็นห่วงโซ่ (Demand Chain) การผลิตและการจัดหาก็ย่อมลดลงเป็นทอด ๆ ไม่ต่างกัน
สินค้าอุปโภคบริโภคต้องมีผู้ผลิต เมื่อผู้ผลิตหรือผู้จัดหา (Supplier) ขายได้น้อยลง รายได้ลดลงจาก สกสค. และกิจการอื่นที่ลดคนงานหรือเลิกกิจการทั้งก่อนหน้าและภายหลัง ผู้ผลิตหรือผู้จัดหาก็ต้องลดคนงาน ลดรายจ่าย หรือเลิกกิจการจนเกิดน้ำตาตามมาเรื่อย ๆ
การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลดลง ผู้ผลิตก็ย่อมลดการผลิตลงจากโรงงานหนึ่งไปสู่อีกโรงงานหนึ่งอย่างเป็นห่วงโซ่ของการจัดหา (Supply Chain) การลดคนงาน ลดรายจ่าย หรือเลิกกิจการก็ย่อมเกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดจนเกิดน้ำตาอีกอย่างเป็นห่วงโซ่ไม่ต่างกัน
เมื่อความต้องการ (Demand) การผลิตหรือการจัดหา (Supply) ลดลง งานในกิจการอื่นที่ไม่เกี่ยวกันก็ต้องลดลง เช่น ธุรกรรมในธนาคาร การท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า ร้านเสริมสวย การก่อสร้าง ตลาดนัด และการผลิต เป็นต้น ก็จะมีงานลดลงอย่างเป็นห่วงโซ่ (Chain)
งานในกิจการนำเข้า ส่งออก ขนส่ง คลังสินค้า โลจิสติกส์ ไม่ว่างานประเภทใดก็จะลดลงตามห่วงโซ่เพราะทุกกิจการต่างขาดเงินไม่ต่างกัน
นี่เพียงกิจการ สกสค. และกิจการอื่นที่เป็นข่าวไม่กี่แห่งส่งผลแค่นี้แต่ในความจริงกิจการที่ต้องลดงาน ลดคน หรือเลิกกิจการมีมากและค่อย ๆ มีมากขึ้นจาก Covid-19 นี้ ซึ่งจากข่าวสารทั่วโลก กิจการดัง ๆ มากมายต่างก็ทะยอยประกาศปลดคนงานหรือเลิกกิจการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น ในวันนี้ ไม่ว่ามหาเศรษฐี เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร หรือคนโชคดีที่ยังพอมีงานทำก็ต้องได้รับผลกระทบ ต้องมีรายได้ลดลงตามที่กล่าวถึงอย่างเป็นห่วงโซ่
ทุกอย่างจะค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาถึงทุกคนไม่ช้าก็เร็ว เว้นแต่รัฐบาลจะคงสภาพการปิดประเทศไปจนกว่าสถานการณ์โลกจะดีขึ้น หรือคุมการเปิดประเทศอย่างมีเงื่อนไขได้ดีเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ กิจการที่มีขาดทุนสะสม อาจคิดแผนกู้เงิน อาจคิดกลยุทธ์เพื่อฟื้นตัวไว้แล้ว แต่พอมีการแพร่ระบาด Covid-19 ทุกอย่างต้องหยุดชะงักและต้องชะลอตัวลงอย่างไม่รู้กำหนดเวลา แผนและกลยุทธ์ที่เตรียมไว้จึงแทบทำอะไรไม่ได้เลย ความคิดเลิกกิจการจึงเกิดขึ้น
Covid-19 จึงทำให้การเลิกจ้างและเลิกกิจการเกิดยิ่งมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากจะกล่าวอย่างสั้น ๆ ห่วงโซ่น้ำตาที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อห่วงโซ่ความต้องการและการจัดหา (Demand and Supply Chain) ขณะเดียวกัน ห่วงโซ่ความต้องการและการจัดหาก็จะหวนกลับไปให้เกิดห่วงโซ่น้ำตา
มันวนเวียนไม่รู้จบและจะส่งผลกระทบต่อทุกคน หากการแพร่ระบาดยังไม่จบสิ้น
นี่คือความน่ากลัวของการแพร่ระบาด Covid19 ท่ามกลางข่าวการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี ข่าวการสาดโคลนของนักการเมือง ข่าวการเปิดประเทศอย่างมีเงื่นไข แต่ก็เป็นโอกาสให้เชื้อกลับมาแพร่กระจายในประเทศไทยรอบ 2 ที่คาดการกันว่าจะหนักกว่ารอบแรกก็เป็นได้ และข่าวเงินเยียวยาของรัฐบาลที่ใกล้จะหมดลง และข่าวรัฐบาลกู้เงินจนใกล้เต็มเพดานของกฎหมายแล้ว
การตื่นตัว การเตรียมตัว การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และการสร้างเงินออมให้ได้แม้จะไม่มีเงินแต่ละเดือนเหลือให้เก็บออมจึงเป็นสิ่งที่ต้องคิดและต้องทำในเวลานี้
มิฉะนั้น ห่วงโซ่น้ำตาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็อาจเปลี่ยนท่านจากการเป็นผู้เฝ้ามองให้กลายเป็นผู้ร่วมในห่วงโซ่น้ำตานั้นก็ได้ในวันหนึ่ง

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/

Dr. Sitthichai  Chawaranggoon
Dr. Sitthichai ChawaranggoonChief Executive Officer (CEO) - S.N.P. GROUP

Logistics

WeRide เปิดตัวบริการแท็กซี่ไร้คนขับแห่งแรกของจีนที่กว่างโจว

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 บริษัท WeRide เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครกว่างโจวได้เริ่มให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) ที่นครกว่างโจวเป็นแห่งแรกในจีน โดยการให้บริการเรียกแท็กซี่ไร้คนขับดังกล่าวจะให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน WeRide Go ที่เป็นแอปพลิเคชันของบริษัท WeRide และแอปพลิเคชันแผนที่ Amap ของบริษัท AutoNavi Software ที่มีสำนักงานอยู่ที่กรุงปักกิ่ง

บริษัท WeRide ร่วมกับเครือบริษัท Guangzhou Baiyun Taxi ให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับในนครกว่างโจว โดยในระยะแรกจะให้บริการในเขตหวงผู่ (Huangpu) และเขตพัฒนานครกว่างโจว (Guangzhou Development District) ครอบคลุมพื้นที่ 144.7 ตารางกิโลเมตร โดยมีรถยนต์ไร้คนขับให้บริการทั้งหมด 20 คัน

นายจาง ลี่ (Zhang Li) ประธานฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท WeRide กล่าวว่า ในช่วงเดือนแรกของการให้บริการ ลูกค้าที่ใช้แอปพลิเคชัน Amap สามารถใช้บริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นายจางฯ ยังกล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไร้คนขับในจีนมีการแข่งขันสูง บริษัท WeRide จึงได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทอื่น ๆ เช่น บริษัท AutoX ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น และบริษัท Didi Chuxing ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่ง อย่างไรก็ดี นายหลีฯ เชื่อมั่นว่านวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับจะกลายเป็นนวัตกรรม
ที่เป็นแนวโน้มสำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน

ปัจจุบัน บริษัท WeRide มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีไร้คนขับทั้งหมดกว่า 100 คัน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 บริษัท WeRide เริ่มต้นโครงการทดสอบการวิ่งบนถนนในนครกว่างโจวรวมระยะทางกว่า 41,140 กิโลเมตรและไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ อนึ่ง บริษัท WeRide ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยได้พัฒนาระบบอัลกอริทึม (Algorithm) ชื่อ “WeRide ONE” ซึ่งเป็นระบบอัลกอริทึมที่มีความสามารถในการประมวลสภาพอากาศและสภาพการจราจรได้อย่างแม่นยำ

ที่มา: https://thaibizchina.com/

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.