SNP eJournal

ฉบับที่ 454

Follow Us :     เพิ่มเพื่อน  

CEO ARTICLE

“เงินชดเชย”

ขอเงินชดเชย”

ข้อความข้างต้นจะปรากฏอยู่บนหน้าใบขนสินค้าขาออกทุกฉบับ นอกจากต้องระบุคำว่า “ใช้สิทธิประโยชน์” แล้ว ยังต้องระบุว่า “ขอเงินชดเชย” อีกด้วย

ทำไมผู้ส่งออกต้องระบุคำดังกล่าวลงไป ???

ใครจะรู้บ้างว่า การนำเข้าและการส่งออกของไทยเกือบทุกรายการส่วนใหญ่มักมีเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกมีสิทธิ์จะได้รับเกือบทุกครั้ง

สินค้าที่เคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ส่วนน้อยจริง ๆ ที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี !!!

คนส่วนใหญ่รู้ แต่น้อยคนไม่รู้

สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ว่านี้ หากไม่ใช่สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลประกาศให้ภายในประเทศแล้วก็จะเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีระหว่างประเทศ

ใครรู้ก็ขอรับ สิทธิประโยชน์ส่วนใหญ่ให้กันฟรี ๆ

ส่วนใครที่ไม่รู้ก็พลาดและอาจทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นไปเลยก็มี

สิทธิประโยชน์ทางภาษีระหว่างประเทศมักเป็นไปในกรณีการนำเข้า ผู้นำเข้ามักได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าที่เป็นไปตามข้อตกลงการค้าเสรี FTA (Free Trade Agreement) ที่ประเทศไทยไปทำไว้กับประเทศต่าง ๆ มากมาย

ส่วนในกรณีส่งออก สิทธิประโยชน์ทางภาษีระหว่างประเทศก็ทำให้ผู้ซื้อต่างประเทศได้รับสิทธิ์การยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าขณะนำเข้า มันก็ทำให้ผู้ส่งออกใช้เป็นจุดขายเพื่อขายสินค้าได้ง่ายขึ้น

คนทำการค้าระหว่างประเทศจึงควรต้องศึกษาก่อนสั่งซื้อ หรือเสนอขายทุกครั้ง

เหตุผลง่าย ๆ คือ ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยที่อาจคาดไม่ถึง

ส่วนสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายในประเทศก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน (B.O.I.) คลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทต่าง ๆ (Bonded Warehouse) เขตปลอดอากร (Free Zone) การคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ (Duty Refunded) และอื่น ๆ รวมทั้งเงินชดเชยภาษีส่งออก

หากผู้ส่งออกไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นใด เงินชดเชยที่ได้ฟรี ๆ ภายในประเทศตัวนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ส่งออกไม่ควรมองข้าม

นี่คือเหตุผลที่ตัวแทนออกของ (Customs Broker) ที่รู้เรื่องมักต้องระบุคำว่า ขอเงินชดเชย” ลงไปในใบขนสินค้าขาออกเอาไว้ก่อน

แล้วคำถามก็ตามมา

เงินชดเชยคืออะไรและทำไมต้องมีเงินชดเชย ???

ในด้านการค้าระหว่างประเทศ หลายสิบปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการนำเข้ามาก

การนำเข้าเกือบทุกครั้ง ประเทศไทยต้องใช้เงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศเพื่อใช้ชำระค่าสินค้านำเข้า

เมื่อเงินบาทถูกขาย ค่าเงินบาทก็ย่อมอ่อนตัว

ขณะเดียวกัน การส่งออกที่ทำให้ได้เงินตราต่างประเทศกลับคืนมาก็ทำให้ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้น และมีเสถียรภาพขึ้น

นี่คือเหตุผลข้อ 1 ที่ทำไมประเทศไทยต้องส่งเสริมให้มีการส่งออก

การรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท

เหตุผลข้อที่ 2 ระบบภาษีบริโภคของไทยในอดีตไม่ใช่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ในอดีตเมื่อผู้ผลิตสินค้าส่งออกต้องจ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าแรงงาน ค่าอุปกรณ์ทุกอย่างเพื่อใช้ในการผลิต ผู้ผลิตต้องจ่ายภาษีรวมลงไปด้วย

ต้นทุนสินค้าในอดีตจึงแฝงด้วยภาษีซ้ำซ้อนที่ซ่อนอยู่ สินค้าไทยที่มีภาษีซ้ำซ้อนก็ย่อมมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งระหว่างประเทศจนอาจสู้ไม่ได้

รัฐบาลจึงต้องช่วยเหลือด้วยการชดเชยภาษีที่ซ้ำซ้อนนี้คืนให้ผู้ส่งออกและเป็นการส่งเสริมการส่งออกไปในตัว

ส่วนผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยนั้นคือผู้ส่งออก ขอย้ำว่ากฎหมายคืนให้ ‘ผู้ส่งออก’ ไม่ใช่ ‘ผู้ผลิต’

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น สินค้าส่งออกของไทยในอดีตจึงได้รับเงินชดเชยภาษี

ในอดีต อัตราเงินชดเชยที่กระทรวงการคลังจ่ายเป็นอัตราร้อยละของมูลค่าสินค้า F.O.B. ที่ส่งออก หรือตามปริมาณที่เป็นกิโลกรัม หรืออื่น ๆ แต่พอประเทศไทยประกาศใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีที่ซ้ำซ้อนก็มีการขอคืนจากกรมสรรพากรตามระบบบัญชี

ภาษีที่ซ้ำซ้อนก็ลดน้อยลงแต่รัฐบาลยังใจดีให้เงินชดเชยส่งออกอยู่

เพียงแต่ว่าอัตราเงินชดเชยลดน้อยลง

วันนี้ประเทศได้รับการร้องเรียนจากประเทศคู่แข่งว่า รัฐบาลไทยอุดหนุนผู้ส่งออกด้วยเงินชดเชยจนทำให้การแข่งขันระหว่างประเทศขาดความเป็นธรรม

แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีเงินชดเชยให้ผู้ส่งออกอยู่ดี

วันนี้เงื่อนไขการขอรับเงินชดเชยจึงมีเพียงง่าย ๆ เพียง 2 ประการเท่านั้นคือ หนึ่ง สินค้ามีข้อพิสูจน์ว่า “ผลิตในประเทศไทย” และสอง มีหลักฐานยืนยันว่า “เงินจากต่างประเทศ” ไม่ว่าจะเป็นสกุลใดไหลเข้ามาในประเทศไทยแล้ว

ง่าย ๆ เพียงเท่านี้ ผู้ส่งออกของไทยก็สามารถได้รับชดเชยภาษีส่งออกฟรี ๆ

ไม่ว่าอัตราเงินชดเชยในวันนี้จะมีแนวโน้มลดลงอย่างไร แต่รัฐบาลไทยก็ยังเล็งเห็นความสำคัญของเงินชดเชยทั้งเพื่อลดภาระภาระภาษีซ้ำซ้อนที่อาจยังมีในสินค้าส่งออก เพื่อรักษาเสถียรภาพเงินบาท และเพื่อส่งเสริมการส่งออก

วันนี้ ผู้ส่งออกจึงไม่ควรมองใบขนสินค้าขาออกที่ได้รับ

หากผู้ส่งออกไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายในประเทศอื่นใดขณะส่งออก และสินค้าส่งออกอยู่ในข่ายดังกล่าวข้างต้น ผู้ส่งออกย่อมมีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยภาษีที่จ่ายง่าย ๆ ในรูปของบัตรภาษี หรือผู้ส่งออกบางรายเรียกคูปองภาษี

การระบุข้อความในใบขนสินค้าขาออกจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

The Logistics

วิธีตรวจสอบใบขนสินค้าขาเข้าเบื้องต้น (1)

ผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าสินค้ามาจากต่างประเทศ คงจะรู้จักมักจี่กับ ‘ใบขนสินค้าขาเข้า’ ซึ่งก็คือ เอกสารที่ผู้นำเข้าทำการชี้แจงหรือส่งข้อมูลการนำเข้าสินค้าให้กรมศุลกากรรับทราบ โดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจจะมีตัวแทนออกของ (หรือภาษาสมัยก่อนเรียกกันว่า ชิปปิ้ง) เป็นผู้กระทำการส่งข้อมูลแทนผู้นำเข้า เพราะมีระบบปฏิบัติการที่เชื่อมโยงกับระบบของกรมศุลกากรโดยตรง ทั้งนี้ในใบขนสินค้าขาเข้าจะมีระบุยอดภาษีอากรนำเข้าที่ผู้นำเข้ามีหน้าที่จะต้องชำระให้หลวงตามที่กฎหมายกำหนด

วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการตรวจสอบใบขนสินค้าขาเข้าอย่างง่ายๆ ก่อนยืนยันข้อมูลให้ตัวแทนออกของส่งข้อมูลไปยังกรมศุลกากร หลังจากที่ผู้ประกอบการทำการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายต่างประเทศแล้ว เอกสารสำคัญที่ผู้ขายต่างประเทศจะต้องจัดเตรียมให้ผู้ซื้อเพื่อใช้ทำธุรกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการดำเนินพิธีการศุลกากรนำเข้า คือ Commercial Invoice & Packing list เป็นเอกสารที่จะแสดงรายละเอียดของสินค้า, ราคา, จำนวน, ชื่อผู้ซื้อ-ผู้ขาย, Incoterms ลักษณะหีบห่อ ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมี B/L หรือ Bill of Lading ที่แสดงข้อมูลเรือ และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการนำมาชี้แจงในใบขนสินค้าขาเข้า เพื่อแจ้งกรมศุลกากรต่อไปด้วย

หลังจากที่ได้รับเอกสารจากผู้ประกอบการแล้ว ตัวแทนออกของมีหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและจัดเตรียมแบบร่างใบขนสินค้าขาเข้า (draft) ให้ผู้นำเข้าตรวจสอบและยืนยันข้อมูลก่อนที่จะส่งข้อมูลเข้าระบบ สำหรับผู้นำเข้ามือใหม่ก็ไม่ต้องตกใจไปนะคะ วิธีการตรวจสอบ draft ใบขนฯ ไม่ได้ยากอย่างที่คิดค่ะ เพราะโดยปกติแล้ว ตัวแทนออกของจะช่วยสกรีนและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นให้ถูกต้องก่อนอยู่แล้ว เว้นเพียงแต่กรณีที่สินค้ามีความพิเศษ หรือลักษณะเฉพาะ ซึ่งตัวแทนออกของอาจจะต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำยืนยันอย่างผู้นำเข้าอีกครั้งหนึ่ง

เริ่มแรกเลยก็ต้องตรวจสอบข้อมูลผู้นำเข้า ชื่อบริษัทและที่อยู่ของผู้ประกอบการให้ถูกต้อง จากนั้นก็ค่อยๆไล่ดูรายละเอียดอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ Invoice NO., ชื่อสินค้าทั้งภาษาอังกฤษ-ภาษาไทย, จำนวน, ราคาสินค้า, brand / เครื่องหมายการค้า, ลักษณะหีบห่อ, เครื่องหมายหีบห่อ, น้ำหนัก ฯลฯ และที่สำคัญมาก คือ พิกัดศุลกากรของสินค้าแต่ละตัว ผู้นำเข้าควรให้รายละเอียดสินค้ากับตัวแทนออกของอย่างถูกต้องและมากเพียงพอ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาจัดประเภทสินค้าว่าควรเข้าพิกัดไหน อันจะมีผลต่อการคำนวณภาษีอากรนำเข้าที่ผู้ประกอบการจะต้องชำระให้กรมศุลกากรต่อไป

คราวหน้าเราจะมาพูดถึงวิธีการคิดคำนวณภาษีอากรนำเข้าที่แสดงอยู่บนหน้าใบขนฯ กันต่อนะคะ

น.ส. สุวิตรี ศรีมงคลวิศิษฏ์