CEO ARTICLE
โจชัวหว่อง
“เราอยากเห็นฮ่องกงเป็นอิสระจากการถูกปกครองโดยเผด็จการ”
นี่คือความในใจที่โจชัวหว่องเขียนให้กับนิตยสาร The Economist เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2562 และถูกถ่ายทอดเป็นภาษาไทย
วันนี้ ทั่วโลกไม่มีใครไม่รู้จักโจชัวหว่อง เลขาธิการพรรค Demosisto แกนนำในการเคลื่อนไหวการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในเกาะฮ่องกง จากกลางเดือน มิ.ย. 2019 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ มีทีท่าจะบานปลาย และมีความเสียหายที่หนักมากยิ่งขึ้น
การเรียกร้องไม่ได้มีอยู่แค่ฮ่องกง แต่ยังไปถึงนักการเมืองสหรัฐเพื่อให้มีการสนับสนุนและผลักดันกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยของฮ่องกงโดยเร็วที่สุด
นักข่าวต่างขุดคุ้ย และข่าวออกมาในลักษณะที่ว่า ชาติตะวันตกโดยมีสหรัฐเป็นผู้นำอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังโจชัวหว่องและพรรค Demosisto
ขาดก็แต่เพียงหลักฐานที่ชัดเจนและการยอมรับเท่านั้น
เหตุผลที่อธิบายออกมาก็คือ การสร้างความวุ่นวายในฮ่องกงเพื่อหยุดยั้งการเติบโตของจีนที่กำลังวิ่งไล่ตามชาติตะวันตกด้านหนึ่ง และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกิจการต่าง ๆ ของชาติตะวันตกที่ต้องได้รับผลกระทบหากจีนแข็งแกร่งมากเกินไปอีกด้านหนึ่ง
“ผู้ใดก็ตามที่คิดแบ่งแยกดินแดนจีนจะต้องถูกบดขยี้จนเป็นผุยผง”
นั่นคือถ้อยคำยืนยันของประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และยืนยันฮ่องกงเป็นของจีนภายใต้นโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ
การประท้วงและความเสียหายอย่างหนักในครั้งนี้ จีนเพียงแสดงท่าที เฝ้ามอง นิ่ง มองดูความเสียหายที่คนรุ่นใหม่ใน Gen Z ของฮ่องกงยัดเหยียดให้แก่คน Gen X และ Baby Boomer ที่เป็นคนรุ่นเก่าและมีรากฐานมั่นคงในฮ่องกง
หากถามคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงว่า “คุณมีเชื้อชาติอะไร ?”
คนรุ่นใหม่ Gen Z ส่วนใหญ่จะตอบว่า “ฮ่องกง” ส่วนน้อยจริง ๆ จะตอบว่า “จีน”
นี่คือสิ่งพิสูจน์ว่า ชาวฮ่องกงรุ่นใหม่ภูมิใจในความเป็นฮ่องกงมากกว่าจีน แม้ว่าหากย้อนประวัติศาสตร์และบรรพบุรุษไปอย่างไรก็ขึ้นไปอย่างไรก็หนี ‘ความเป็นจีน’ ไปไม่พ้น
นี่คือความสำเร็จของแกนนำการประท้วงและที่มาของคำว่า “ชังชาติ” ตัวเอง
ความชังชาติทำให้เกิดความรุนแรง กลุ่มทุนขนาดใหญ่เตรียมย้ายไปประเทศอื่นซึ่งเท่าที่เห็นเป็นข่าวก็มีธนาคาร HSBC เตรียมตัวไปสิงคโปร์และออสเตรเลีย
ข่าวยังบอกว่า หลายธุรกิจขนาดใหญ่ถอนตัวออกไปเรื่อย ๆ ร้านอาหารปิดตัวเองเพราะขายไม่ออก แหล่งท่องเที่ยวไม่มีคน ใครมาเที่ยวก็ถูกดักทำร้าย
สภาพเช่นนี้ทำให้อาหารยิ่งขาดแคลน ทรัพย์สินยิ่งถูกทำลาย
นักวิเคราะห์รายงานว่า ฮ่องกงคงหมดอนาคตในระยะยาว แล้วผลก็ย้อนกลับมาที่คนรุ่นใหม่ คนหนุ่ม คนสาวที่เคยได้รับเงินเดือนสูง ๆ เริ่มตกงาน
การแย่งอาหารไปกินเริ่มมีให้เห็นเพราะความหิวโซของม็อบที่หาของกินยากมากขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่าเด็กมัธยมรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมจีน ส่วนใหญ่จะเห็นคนจีนด้อยพัฒนา จึงรังเกียจความเป็นจีน รังเกียจเผด็จการ แล้วหันไปคลั่งไคล้ประชาธิปไตย
ความคลั่งไคล้ประชาธิปไตยทำให้อยากแยกฮ่องกงออกมา พยายามหนีความเป็นส่วนหนึ่งของจีนซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของโจชัวหว่อง
ในที่สุด เด็กมัธยมก็เข้าร่วมประท้วงทั้งที่รู้ว่าไม่ปลอดภัย
ข่าวที่น่าตกใจคือ เด็กมัธยมบางคนถึงกับเขียนพินัยกรรมเก็บไว้ในกระเป๋าที่ใช้ติดตัวไปประท้วงคล้ายยินยอมสละชีวิต มันจึงเป็นความรุนแรงที่น่ากลัวกว่าที่ใคร ๆ จะคิดได้
ประเทศไทยก็เคยเกิดการประท้วงรุนแรงแบบนี้หลายครั้งตั้งแต่ 15 ปี ก่อนหน้านี้ เฉพาะที่รุนแรงก็เป็นกลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มเสื้อแดง กลุ่ม นปช. กลุ่ม กปปส. ที่ผลัดกันเข้ามามีบทบาท
เหตุการณ์รุนแรงในฮ่องกงจึงคล้ายกับไทย เช่น การนำลัทธิชาติตะวันตกเป็นตัวนำ ยืมมือต่างชาติ สร้างโลกให้ล้อมประเทศ เทิดทูนระบอบประชาธิปไตย โจมตีเผด็จการ ปลุกเร้าคนให้ชังชาติ ประนามคนเห็นต่าง ยั่วยุให้เกิดการปะทะ สร้างความรุนแรง ทำลายทรัพย์สิน เกิดการบาดเจ็บจนถึงการเสียชีวิต
ส่วนแกนนำปลอดภัย หากชนะภายหลังเหตุการณ์ยุติแกนนำก็ได้ตำแหน่งทางการเมือง
ความรุนแรงในไทยเกิดขี้นก่อนจึงไม่มีใครตอบได้ว่า เหตุการณ์ในฮ่องกงครั้งนี้โจชัวหว่องได้รับแรงบันดาลใจจากไทยหรือไม่ แม้บางเรื่องจะรุนแรงกว่าและบางเรื่องจะอ่อนเบากว่าก็ตาม
ส่วนที่เหมือนกันมาก คือ ความเสียหาย ความรุนแรง การชังชาติตัวเอง การแตกสามัคคี ความวอดวาย เศรษฐกิจตกต่ำ และการตกงาน
คน Gen Z อายุเพียง 23 ปี อย่างโจชัวหว่อง แม้จะมีไฟแรงกล้าก็ดูไม่น่ากลัวสักเท่าไร แต่ใครจะไปรู้ว่าคนหนุ่มที่ไฟแรงกล้าและได้แรงหนุนจากชาติตะวันตกที่ไม่มีอะไรจะเสียเลยกลับสามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้ขนาดนี้
การมีชาติตะวันตกหนุนหลัง โจชัวหว่องอาจชนะหรืออาจแพ้ในการประท้วงครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าฟันธงอย่างชัดเจน
สมมุติ … สมมุติแบบง่ายๆ ว่าจีนยอม ส่วนกลุ่มผู้ประท้วงและโจชัวหว่องชนะ
หากหมากออกมาแบบนี้ คนรุ่นเก่าที่มีรากฐานมั่นคงในฮ่องกงและยอมรับความเป็นจีนในสายเลือดก็คงไม่อยากอยู่ฮ่องกงต่อไป การอพยพที่มีอยู่แล้วก็จะยิ่งอพยพมากขึ้น
คนรุ่นใหม่จะยิ่งได้ใจ ฮึกเหิม
หลังจากนั้น แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงต้องสร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมา คำถามง่าย ๆ โจชัวหว่องจะเอาต้นแบบรัฐธรรมนูญมาจากที่ไหน ?
คำตอบที่พอจะเดา ๆ ได้ หากไม่ใช่อังกฤษก็คงเป็นสหรัฐ หรือไม่ก็ฝรั่งเศษ หรืออาจผสมกันจากหลายประเทศ แต่ที่แน่ ๆ คงไม่มีระบบกษัตริย์แบบอังกฤษแน่
โอกาสที่จะใช้ระบบประธานาธิบดีจึงเป็นไปได้สูง
ในเมื่อโจชัวหว่องมีบทบาทเด่น ยืมมือต่างชาติมากดดันจีน เชื่อมโยงกับชาติตะวันตกได้ดี ได้รับการหนุนจากต่างชาติ การเลือกตั้งก็มีจำนวนคนเก่าแก่ลดน้อยลง คนรุ่นใหม่มากขึ้น
ผลการเลือกตั้งก็คาดเดาได้อีกไม่ยาก
หากวันนั้นมีจริง ประเทศฮ่องกงก็คงมีประธานาธิบดีชื่อโจชัวหว่องขึ้นเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุน้อยที่สุดราว 26-27 ปี หรือไม่เกิน 30
ส่วนฮ่องกงก็คงดำเนินไปภายใต้การชี้นำของชาติตะวันตกให้ขึ้นมาต่อกรกับจีน ภายใต้การไม่ยินยอมของคนรุ่นเก่าและกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับโจชัวหว่องซึ่งแน่นอนก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน
ประชาธิปไตยที่แท้จริง เสียงส่วนใหญ่ต้องเคารพเสียงส่วนน้อย
แต่ในทางปฏิบัติ ประชาธิปไตยที่เอาแต่เสียงข้างมากย่อมมีเผด็จการแอบแฝง ขณะที่เผด็จการที่เคารพเสียงข้างน้อยเพื่อมุ่งขจัดทุกข์บำรุงสุขก็ย่อมมีประชาธิปไตยแอบแฝงไม่ต่างกัน
มันเป็นเรื่องต่างคนต่างมุมมองตามวิสัยทัศน์และทัศนคติของแต่ละคน
ฝ่ายที่ได้ชัยชนะย่อมต้องการเปลี่ยนฮ่องกงชนิดพลิกฝ่ามือ ส่วนฝ่ายเห็นต่างย่อมไม่เห็นด้วย คนรุ่นเก่าและกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยก็อาจทำอย่างที่โจชัวหว่องเคยทำบ้าง
การลงถนน การประท้วง ความวุ่นวาย และความเสียหายก็จะกลับคืนมาที่ไม่ต่างอะไรไปจาก Dejavu ภาพที่ย้อนมาให้ดูอีกแบบที่ประเทศไทยก็เคยย้อนกลับมา
ฮ่องกงที่เคยเป็นไข่มุกแห่งเอเซียก็จะไม่มีความเป็นไข่มุกอีกต่อไป
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์สมมุติที่ไม่น่าจะเป็นจริงสักเท่าไร เหตุผลง่าย ๆ ฮ่องกงเป็นของจีนที่มีสักขีพยานมากมายว่า อังกฤษเช่าไปและส่งคืนจีนแล้วในปี 1997
ฮ่องกงเป็นของจีนและอยู่ใกล้จีนนิดเดียว จีนมีขนาดประเทศและแสนยานุภาพมหาศาลเทียบกับฮ่องกงที่เป็นเกาะนิดเดียว การนำกำลังเข้าปราบไม่ใช่เรื่องยากและก็เป็นเรื่องภายในที่ไม่ควรมีใครยุ่งเกี่ยว แต่จีนเลือกที่จะไม่ทำ
จีนยังมีไต้หวัน มาเก๊า และอาณานิคมอื่นที่อยากแยกตัว จีนคงไม่ยอมให้การประท้วงในฮ่องกงครั้งนี้ก้าวไปสู่ความสำเร็จได้แน่
แม้ชาติตะวันตกจะรวมกันพยายามทำสงครามเศรษฐกิจกับจีน แต่ยังมีชาติอื่นอีกมากรวมถึงไทยก็ยังคบค้ากับจีนด้วยมิตรและสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน
ประการสุดท้าย ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและความเป็นมาของฮ่องกงไม่เหมือนไทยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ยึดเหนี่ยว
หากโจวชัวหว่องได้แรงบันดาลใจจากการประท้วงของไทยจริงก็อาจไม่จบสวยอย่างไทย
ในภาพรวมที่เป็นจริงเหล่านี้ โจชัวหว่องจึงไม่อาจชนะ ส่วนฮ่องกงก็อาจต้องเสียหายจนฟื้นฟูให้เหมือนเดิมไม่ได้เมื่อภายหลังเหตุการณ์ยุติ
คนรุ่นเก่า Gen X และ Baby Boomer น่าจะอพยพออกไปมาก คนรุ่นใหม่ Gen Z และ Y ที่ไม่มีที่ไปก็คงตกงานมากและคงอยู่เป็นเสี้ยนตำเท้าจีนไปเรื่อย ๆ
แม้จะรู้ว่าไม่ชนะ แต่ทำไมชาติตะวันตกยังให้การสนับสนุนทั้งเปิดเผย ทั้งในทางลับ และทำไมคนรุ่นใหม่ Gen Z อย่างโจชัวหว่องจึงกล้าหาญเพียงนี้
คำตอบง่าย ๆ ของ 2 ข้อนี้ก็คงไม่ต่างกันคือ
ทั้งชาติตะวันตกและโจชัวหว่องต่างก็ไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้มากหรือได้น้อยเท่านั้น จีนและฮ่องกงต่างหากที่เสีย ส่วนจะเสียมากหรือน้อยก็ต้องดูตอนท้าย ขณะที่โจชัวหว่องมีอายุเพียงเท่านี้ ทำได้ขนาดนี้ ในมุมของเขามันคงคุ้มเกินคุ้มแล้วที่เกิดมาเป็นคนจีนบนแผ่นดินฮ่องกง
มุมมองเหล่านี้อาจเป็นจริง หรืออาจเป็นเพียงจินตนาการตามวิสัยทัศน์และทัศนคติของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันจริง ๆ
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
Logistics
Nippon Express เปิดตัวบริการขนส่งเชื่อมญี่ปุ่น-ยุโรป ผ่านทางทะเล-รถไฟ
Nippon Express เปิดตัว NEX Ocean-Solution China Land Bridge บริการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ ผ่านโหมดการขนส่งทางทะเล-รถไฟ ในเส้นทางเริ่มต้นจากประเทศญี่ปุ่นไปยังทวีปยุโรป โดยมีการเปลี่ยนถ่ายสินค้าเพื่อเชื่อมต่อไปยังโหมดขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนทางรถไฟที่เมือง Xiamen ประเทศจีน ต่อไปยังยุโรป
ทั้งนี้ บริการดังกล่าวเป็นการรวบรวมสินค้าผ่านโหมดการขนส่งทางเรือจากท่าเรือหลักหลายแห่งของญี่ปุ่น อาทิ ท่าเรือ Tokyo, Yokohama, Nagoya, Osaka, Kobe และ Moji ไปยังเมือง Xiamen ของจีน ก่อนจะขนส่งสินค้าทางรางจาก Xiamen ไปยังเมือง Małaszewicze ประเทศโปแลนด์ เมือง Hamburg และ Duisburg ประเทศเยอรมนี โดยมีระยะเวลาการปฏิบัติการขนส่งสินค้าเริ่มจากต้นทางในท่าเรือหลักของญี่ปุ่น ไปยังสถานีรถไฟปลายทางในยุโรป ราว 23-25 วัน
โดยระยะเวลาการขนส่งสินค้าโดยรวมถือว่ารวดเร็วกว่าการขนส่งทางเรือ ซึ่งปกติมักใช้ระยะเวลาประมาณ 40 วัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าลดลงราว 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับบริการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบที่มีอยู่เดิม ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างญี่ปุ่นกับยุโรปผ่านสถานีรถไฟในเมือง Dalian
บริการ NEX Ocean-Solution China Land Bridge ปฏิบัติการรถไฟขนส่งสินค้าออกจาก Xiamen สองครั้งต่อสัปดาห์ ทุกวันพุธและเสาร์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการรองรับสินค้าจากญี่ปุ่นที่ขนส่งทางเรือมายัง Xiamen ได้มากยิ่งขึ้น
ที่มา : http://thai.logistics-manager.com/2019/10/16/nippon-express-launches-nex-ocean-solution-china-land-bridge/
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!