CEO ARTICLE
โกงค่าพยาบาล
ส.ส. โกงค่ารักษาพยาบาลจะป้องกันอย่างไร ?
ต้นปี 2568 ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) เปิดเผยข่าว ส.ส. เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนในปี 2562 มีคนอื่นออกค่ารักษาให้นับล้านบาท
จากนั้น ส.ส. นำใบเสร็จมาเบิกเงินซ้ำจากสำนักงานสภาฯ ได้เงินตามสิทธิ์หลายแสนบาท และต่อมาคนที่ออกเงินให้ได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ส.ส. ผู้นั้น
ป.ป.ช. มองเป็นการรับผลประโยชน์ ขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจึงเปิดเผย และเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
หลายปีที่ผ่านมา นักการเมืองที่ส่อแววทุจริตมีแนวโน้มมากขึ้นในประเทศไทย
รัฐธรรมนูญ 2560 จึงป้องกันการทุจริต การรับผลประโยชน์ ให้มีมาตรฐานจริยธรรม และให้มีองค์กรอิสระเพื่อถ่วงดุลนักการเมือง ตรวจสอบ และเสนอลงโทษต่อศาลต่าง ๆ
แต่ทุกครั้งที่การลงโทษสิ้นสุด นักการเมืองทุจริตจะติดคุกระยะหนึ่งก็จะมีกระบวนการของราชทัณฑ์ การเลื่อนชั้นนักโทษ ลดหย่อนโทษ การพักโทษ และปล่อยตัว
นักการเมืองทุจริตติดคุกแป๊บเดียวก็ออกมาลอยนวลเสวยสุขจนเป็นเรื่องปกติ
ข่าว ส.ส. โกงค่ารักษาพยาบาลครั้งนี้จึงไม่น่าจะใช่ครั้งสุดท้าย ทำให้มองว่า นักการเมืองเป็นอาชีพที่รวยเร็ว หากติดคุกก็ออกมาเร็ว และเป็นต้นแบบของการทุจริตที่ระบาดไปทั่วทุกวงการ
คนสีเทาจึงอยากเข้ามาเล่นการเมือง การซื้อเสียงซับซ้อนขึ้น คนดี คนมีความรู้จริงเข้ามาเล่นการเมืองยากขึ้น ประเทศจึงถูกนำโดยคนสีเทามากกว่า คนจนถูกหลอกให้เลือกคนสีเทาไม่จบสิ้น
การป้องกัน ส.ส. โกงค่ารักษาพยาบาลและนักการเมืองทุจริตจึงเป็นสิ่งจำเป็น
หากจะทำให้การทุจริตหมดไปจากประเทศไทยเหมือนจีน สิงคโปร์ หรือเกาหลีใต้ที่เอาจริงกับเรื่องนี้ วิธีการง่าย ๆ ก็ทำแค่ 2 เรื่อง และต้องทำเฉพาะนักการเมืองให้เป็นต้นแบบประเทศ
1. ที่มาของทรัพย์สิน
ทันทีที่นักการเมืองยื่นบัญชีทรัพย์สิน ไม่ว่าจะยื่นก่อนหรือหลังเข้ารับตำแหน่ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบทรัพย์สินที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนด์เนม และอื่น ๆ เสียภาษีศุลกากรถูกต้องหรือไม่ ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาในประเทศ เช่น หุ้น รถยนต์ พระเครื่อง เงิน ที่ดิน และอื่น ๆ ก็ตรวจที่มาของเงิน การเสียภาษีรายได้ให้สอดคล้องกับทรัพย์สิน ตรวจคนในครอบครัว และคนใกล้ชิดที่อาจถือครองทรัพย์สินแทนไม่ว่าจะบรรลุนิติภาวะแล้วหรือไม่ก็ตาม
หากตรวจแล้วไม่ถูกต้องก็ดำเนินตามกฎหมายฟอกเงินที่อาจนำไปสู่การยึดทรัพย์
หากมีการชี้เบาะแสก็ควรให้รางวัลเลียนแบบต่างประเทศ เช่น 30% ของทรัพย์สินที่ยึดได้ และการตรวจสอบทรัพย์สินเฉพาะนักการเมืองต้องไม่มีอายุความ ต้องตรวจได้ตลอดชีวิต
วิธีการนี้จะทำให้คนสีเทาไม่อยากเข้าสู่ถนนการเมือง เปิดโอกาสให้คนสีขาวที่มีความรู้ มีความสามารถจริง ๆ กล้าเสนอตัวให้ประชาชนเลือกมากขึ้น
2. การปล่อยตัวคดีทุจริต
การลดหย่อนโทษ การพักโทษ และการปล่อยตัวเป็นเรื่องปกติของทุกประเทศ
แต่หากเป็นคดีทุจริตของนักการเมือง การปล่อยตัวตามกระบวนการของราชทัณฑ์ต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความก่อนว่า ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?
รัฐธรรมนูญ 2560 มีเจตนารมณ์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต
การทุจริตของคนทั่วไปทำความเสียหายในวงแคบ แต่การทุจริตของนักการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ร้ายแรง ทำลายสังคมและเศรษฐกิจในวงกว้างจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรอภัยง่าย ๆ
การปล่อยตัวนักการเมืองที่ทุจริตจึงต้องมีกระบวนการเพื่อพิจารณาว่า ความเสียหายใหญ่หลวงมากแค่ไหน ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ศักดิ์ศรีเหนือกว่าระเบียบราชทัณฑ์หรือไม่ ?
วิธีการง่าย ๆ เพียง 2 ข้อ ใช้เฉพาะนักการเมือง หรืออาจรวมถึงข้าราชการประจำ หากทำได้ การเมืองไทยดีขึ้นแน่ เป็นต้นแบบที่ดีให้ทุกวงการแน่ แต่สิ่งที่น่าคิดคือ ใครจะเป็นผู้แก้กฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เพื่อสนองต่อ 2 ข้อนี้ ?
คำตอบก็หนีไม่พ้น ส.ส. และนักการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งเข้ามา
แต่นักการเมืองสีเทาที่ลงสมัครเลือกตั้ง ส่วนใหญ่จะปิดบังเบื้องหลังไว้ ประชาชนไม่รู้จึงเลือกที่นโยบาย และเลือกผลประโยชน์ที่จะได้ สุดท้ายก็ได้นักการเมืองสีเทาปะปนเข้ามามากจนวิธีการแก้ไขง่าย ๆ 2 ข้อกลายเป็นเรื่องยากจนแทบเป็นไปไม่ได้
ส.ส. โกงค่าพยาบาลจึงเป็นปลายเหตุ
หากไม่มีการแก้ไข การทุจริตของนักการเมืองก็จะมีมากขึ้นและซับซ้อนยิ่งขึ้นจนทำให้ความโปร่งใสของประเทศไทยที่ต่ำอยู่แล้วในลำดับที่ 108 ในปี 2566 จะยิ่งต่ำลงในอนาคต และทำให้ประเทศไทยยิ่งขาดความน่าเชื่อถือมากขึ้นในเวทีโลก
การป้องกัน ส.ส. โกงค่าพยาบาล และการทุจริตจึงป้องกันได้โดยการแก้ไขกฎหมายและระเบียบ ให้อำนาจองค์กรอิสระและศาลต่าง ๆ มากขึ้น ให้ถ่วงดุล และตีแผ่เรื่องราวให้ประชาชนทราบมากขึ้นเพื่อให้การเลือกตั้งในอนาคตจะได้ ส.ส. น้ำดีเข้ามามากขึ้น
หาก ส.ส. สีเทาถูกตีแผ่มากขึ้นแล้ว แต่ประชาชนยังเลือก การเมืองไทยก็คงวนเวียนย่ำอยู่กับการทุจริตไปอีกนาน.
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
for Home and Health,
please visit https://www.inno-home.com
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/
Date Published : January 21, 2025
Logistics
บทสรุปการประท้วงหยุดงานท่าเรือในสหรัฐฯ
เนื้อหาสาระข่าว: กรณีข้อพิพาทระหว่างสมาคม International Longshoremen’s Association (ILA) ที่เป็นเสมือนสหภาพแรงงานของบรรดาพนักงานลูกจ้างในท่าเรือที่ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออก (East Coast) และชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก (Gulf Coast) ของสหรัฐฯ กับเครือข่าย United States Maritime Alliance (USMX) ซึ่งเป็นกลุ่มของผู้ประกอบการกิจการท่าเรือหลักซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เหล่านั้น ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการโลจิสติกส์ของสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ก่อนที่จะตกลงร่วมกันที่จะขยายเวลาเจรจาชั่วคราวออกไปถึงวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งในภาพรวมข้อเรียกร้องของฝ่ายสหภาพแรงงาน ILA ประกอบด้วย การเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงจากปัจจุบัน ไม่ต่ำกว่า 60% (ก่อนหน้านี้เรียกร้องอยู่ที่ 77%) เพื่อให้สามารถรองรับและปรับเข้ากับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเงินชดเชยตั้งแต่ช่วงโรคระบาดโควิด-19 และข้อเรียกร้องในการห้ามมิให้มีการนำระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ (Automation) และหุ่นยนต์เข้ามาใช้ทำหน้าที่แทนบุคลากรเพื่อเป็นการรักษาตำแหน่งงานของสมาชิกสหภาพไว้ โดยทั้งสองข้อถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ตลอดเวลาร่วม 5 เดือนที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายสหภาพแรงงานภายหลังได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง ที่ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องไม่ให้ใช้ระบบปฏิบัติการอัตโนมัติแทนที่การจ้างงานบุคลากร โดยได้ออกมาระบุว่า “จำนวนเงินที่สามารถช่วยลดต้นทุนจากการนำระบบปฏิบัติการเหล่านั้นมาใช้ เทียบไม่ได้กับความทุกข์ใจ ความเจ็บปวด และความสุ่มเสี่ยงต่อแรงงานชาวอเมริกัน” ซึ่งถือว่าน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมาจนนำไปสู่ชัยชนะสมัยที่สองของทรัมป์ครั้งนี้ มีจุดยืนที่เหนียวแน่นเคียงข้างชนชั้นแรงงานชาวอเมริกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้พูดถึงเรื่องการบริหารกลไกหลาย ๆ อย่างของรัฐให้ไปเป็นไปอย่าง “มีประสิทธิภาพ” ซึ่งในประเด็นนี้อาจเป็นข้อสังเกตที่ต้องดูกันในระยะยาวถึงท่าที่และจุดยืนของทรัมป์ว่าถ้าหากต้องการที่จะสนับสนุนให้มีการจ้างงานแรงงานชาวอเมริกันเป็นหลักต่อไปแล้วจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการพัฒนาระบบปฏิบัติการและการบริหารจัดการของท่าเรือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทางสหภาพ ILA และกลุ่ม USMX ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันโดยมีเนื้อหาสาระระบุถึงการบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น (Tentative Agreement) ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายซึ่งจะถูกบรรจุในสัญญาฉบับหลัก (Master Contract) ระยะ 6 ปีต่อไป โดยในลำดับถัดไปจะเป็นการหารือร่วมกันระหว่างสหภาพ ILA กับคณะกรรมการกำหนดค่าแรง (Wage Scale Committee) เพื่อรับรองมติการกำหนดอัตราค่าแรงใหม่ร่วมกันเพื่อนำไปสู่การบังคับใช้สัญญาฉบับจริงต่อไป สำหรับในประเด็นเรื่องการต่อต้านการนำเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่แรงงาน ในแถลงการณ์ได้ระบุว่าข้อตกลงเบื้องต้นนี้จะปกป้องตำแหน่งงานของสหภาพ ILA ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพของท่าเรือ ซึ่งจะนำเทคโนโลยีที่จะสร้างการจ้างงานมากขึ้นเข้ามาในระบบการทำงาน โดยยังได้ระบุอีกว่านี่คือข้อตกลงที่สมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย (Win – Win Agreement) และจะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงจนกว่ากระบวนการเห็นชอบร่วมกันจะแล้วเสร็จโดยสมบูรณ์
ภายหลังแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ประธานสหภาพ ILA อย่าง Harold Daggett ได้ออกมาโพสต์ข้อความยกเครดิตและความดีความชอบของความสำเร็จครั้งนี้ให้กับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ โดยได้กล่าวไปถึงเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้วที่ตัวเขาและทรัมป์ได้พบปะหารือกันในประเด็นข้อขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายก่อนหน้านี้ จนนำไปสู่การที่ทรัมป์ต่อสายตรงหาตัวแทนกลุ่ม USMX เพื่อแสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายสหภาพ ILA และตอกย้ำด้วยการแสดงจุดยืนดังกล่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตนในข้างต้น ซึ่ง Harold กล่าวว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นของสัญญาฉบับใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พร้อมยกย่องทรัมป์ให้เป็นฮีโร่ของชาวสหภาพ ILA และเพื่อนที่ยิ่งใหญ่ของชนชั้นแรงงานชาวอเมริกัน
บทวิเคราะห์: มีการวิเคราะห์กันจากหลายฝ่ายว่าการบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ดูเหมือนว่าฝ่ายสหภาพ ILA นั้นจะได้เปรียบมากกว่า เนื่องจากได้รับการตอบสนองที่เรียกร้องทุกข้อ ในขณะที่สำหรับฝ่าย USMX นั้นเสียโอกาสที่จะนำระบบปฏิบัติการอัตโนมัติแบบเต็ม (Full Automation) เข้ามาใช้ในระบบของท่าเรือเพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการท่าเรือ ซึ่งจากข้อต่อรองทำให้ลดระดับเหลือแค่ระบบปฏิบัติการอัตโนมัติบางส่วน (Semi -Automation) ทำให้ไม่สามารถลดต้นทุนการบริหารจัดการท่าเรือได้เท่าที่ควร
แม้ว่าความกังวลในเรื่องการประท้วงหยุดงานของสหภาพแรงงานท่าเรือจะสามารถหาข้อยุติได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรทิ้งไว้ เนื่องจากอัตราการนำเข้าสินค้าของท่าเรือต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้ได้ปรับตัวอยู่ในระดับที่สูงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า สาเหตุมาจากการที่บรรดาผู้นำเข้าได้สั่งสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมากกว่าปกติไว้สำหรับฤดูใบไม้ผลิ เพื่อสำรองสินค้าให้มีเพียงพอในช่วงเวลาดังกล่าวในกรณีที่อาจเกิดเหตุสุดวิสัยใดใดในทางโลจิสติกส์ และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือการเร่งนำเข้าสินค้ามาเป็นจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่อาจเพิ่มสูงขึ้นได้จากมาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่ภายหลังที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ นอกเหนือไปจากนี้ผลกระทบในระยะยาวต่อภาคการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ อาจต้องพิจารณากันในระยะยาว
ภาพรวมของอัตราการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ถือว่าปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนนับตั้งแต่ช่วงเดือนที่เริ่มเกิดกรณีข้อพิพาทการประท้วงหยุดงงานของท่าเรือเป็นต้นมา โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีอัตราการนำเข้าอยู่ที่ 2.17 ล้าน TEU จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.91 ล้าน TEU ซึ่งถือว่าสูงกว่าเดือนพฤศจิกายนปี 2023 ถึง 14.7% ในเดือนธันวาคมมีอัตราการนำเข้าอยู่ที่ 2.24 ล้าน TEU จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.88 ล้าน TEU ซึ่งถือว่าสูงกว่าเดือนธันวาคมปี 2023 ถึง 19.2% ทั้งนี้ อัตราการนำเข้าทั้งหมดของปี 2024 รวมอยู่ที่ 25.6 ล้าน TEU จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 24.9 ล้าน TEU ซึ่งถือว่าสูงกว่าอัตราในปี 2023 ถึง 15.2% และได้คาดการณ์อัตราในเดือนมกราคมปีนี้ว่าจะสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้วประมาณ 10%
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: ผู้ประกอบการไทยที่มีแผนหรือกำลังวางแผนจะส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ ในช่วงเวลานี้ ควรติดตามความคืบหน้าของมาตรการทางภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะก้าวเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปอย่างแน่นอน ซึ่งจะรวมถึงมาตรการกำหนดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนที่คาดว่าจะเพิ่มโอกาสให้กับสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันเพื่อแย่งชิงตลาดกับสินค้าจากประเทศคู่แข่ง และจากการหารือกับผู้นำเข้าประเภทสินค้าอุปโภคและได้ให้ข้อสังเกตว่าคุณภาพสินค้าจากประเทศไทยเป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพและมาตรฐานขณะที่ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากไทยยังเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้า นวัตกรรมและรูปแบบสินค้าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องพิจารณาให้ความสำคัญเพื่อสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่ม
อีกทั้งควรติดตามต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นภายในช่วงเวลาที่จำกัดเป็นไปตามสถานการณ์การสั่งซื้อสินค้าเพื่อสำรองให้มีเพียงพอต่อความต้องการของบรรดาผู้นำเข้าของสหรัฐฯ ที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ และควรเสาะหาทางเลือกและเส้นทางขนส่งสินค้าสำรองเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในระบบการขนส่งสินค้าทั้งในทางโลจิสติกส์และมาตรการทางภาษีนำเข้าสินค้ามายังสหรัฐฯ แม้ว่าปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ดูเหมือนจะลดความร้อนแรงลงในหลายพื้นที่ แต่ปัญหาใหม่ๆ ด้านโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจจะอุบัติขึ้นได้ภายหลังจากสัปดาห์หน้าเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งในช่วง 4 ปีข้างหน้า
ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/193674
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!