CEO ARTICLE
รีเซ็ตประเทศไทย
ประเทศไทยจะรีเซ็ตตัวเองได้อย่างไร ?
สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของไทยมีสภาพวุ่นวายในปัจจุบัน
ข่าวยาเสพติดระบาด เว็บพนัน เว็บโป๊ สังคมขาดน้ำใจ เอารัดเอาเปรียบ มีกฎหมายแต่ไม่สามารถปกป้องคนดี กิจการปิดตัว คนตกงาน ปัญหาชายแดน และอื่น ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
ในทางการเมือง ประเทศต้องมีรัฐบาลที่มีความสามารถเข้ามาแก้ไข เป็นต้นแบบนำสังคมและนำเศรษฐกิจ ทั้งที่คนไทยมีความสามารถนับไม่ถ้วน แต่กลับขาดโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำ
ส่วนคนการเมืองวันนี้ก็มุ่งแต่ปกป้องกลุ่มตน สร้างผลประโยชน์ทับซ้อน มีแต่พรรคแต่พวกเป็นเป้าหมายเบื้องหน้า ทอดทิ้งประชาชนให้อยู่เบื้องหลัง ปล่อยปัญหาให้ทับซ้อนจนสาหัส
การเมืองจึงพึ่งพาได้ลำบากจนมีเสียงเรียกร้องให้รีเซ็ตประเทศไทย
คนหัวร้อนเรียกร้องให้รัฐประหาร สร้างกฎเกณฑ์ใหม่ แต่ข้อเสียคือ ต่างชาติไม่ยอมรับ ไม่ค้าขายด้วย การส่งออกจะตกต่ำ อุตสาหกรรมการผลิตจะถดถอย คนจะตกงาน คนรุ่นใหม่ต่อต้าน ประท้วง กระทบการค้าภายในประเทศ และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในภาพรวมแทนที่
หลังการรัฐประหาร ผู้ก่อการต้องสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ จัดเลือกตั้งโดยเร็วภายใต้เงื่อนไขที่ต้องรักษาอำนาจ มิให้สิ่งที่ทำสูญเปล่า มิให้ถูกข้อหากบฎ ต้องกวาดต้อนนักการเมืองให้เข้าสังกัด
สุดท้ายก็ต้องยอมให้มีการหาผลประโยชน์จนเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซากไม่จบสิ้น
คนนิยมประชาธิปไตยก็เรียกร้องให้ใช้กฎหมายรีเซ็ตประเทศโดยการจับคนทุจริตติดคุก ให้ติดคุกจริง ไม่ใช่คุกหลอก และไล่คนไม่มีจริยธรรม ไม่มีความสามารถให้ออกจากถนนการเมือง
หากทำได้ ไม่ว่าจะเลือกตั้งกี่ครั้ง ไม่ว่าจะซื้อเสียงกี่ร้อยล้านบาท คนไม่ดีจะถูกกำจัดออกไป คนดี คนมีความสามารถจะเข้ามาให้เลือกมากขึ้น จะเลือกใครก็ได้ ประเทศก็รีเซ็ตตัวเองได้
จากมุมมองนี้ การรีเซ็ตประเทศไทยจึงมีได้ 2 ทางที่ให้ผลเร็วและช้าต่างกัน
การใช้กฎหมายรีเซ็ตประเทศมีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 แล้ว
รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะมีองค์กรอิสระ เช่น กกต. (คณะกรรมการเลือกตั้ง) ปปช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) มีศาลปกครอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญ และอื่น ๆ ที่ใช้ระบบไต่สวนสืบหาความจริง
ปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560 มีองค์กรอิสระที่เข้มข้นขึ้น มีการตัดสิทธิ์นักการเมืองที่ขาดจริยธรรมออกไป มีการตัดสินคดีทุจริต และจับนักการเมืองติดคุกให้เห็น
แต่นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนก็หาทางแก้เกม มีการแทรกแซงองค์กรอิสระเหล่านี้ด้วยอิทธิพลและผลประโยชน์จนดูขาดความอิสระให้เห็น มีการดึงเรื่องให้ล่าช้า และปัดเป่าความผิดให้เบาลงจนเป็นข่าวชิงไหวพริบในทางกฎหมายที่เรียกกันว่า “นิติสงคราม”
มันคือสงครามของ “กลุ่มการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มคนที่ต้องการรีเซ็ตประเทศ”โดยมีองค์กรอิสระที่อาจถูกแทรกแซงเป็นกรรมการ
ตัวอย่างเช่น ความพยายามให้ศาลฎีกาฯ ไต่สวนการติดคุกของนักการเมืองถูกต้องหรือไม่ หรือการยื่นให้ ปปช. และศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาการโยกงบประมาณจากส่วนอื่นเพื่อนำไปแจกเงิน 10,000 บาทขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 หรือไม่ เป็นต้น
มาตรา 144 เป็นเรื่องของการห้ามโยกงบประมาณที่มีโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง และผู้โยกงบทั้งหมดยังต้องร่วมกันชดใช้เป็นเงินนับแสนล้านบาทจนประเทศไทยอาจรีเซ็ตตัวเองได้
ต่าง ๆ นานาเหล่านี้คือตัวอย่างของการรีเซ็ตประเทศไทยโดยกฎหมาย แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย มีกระบวนการ มีความล่าช้า มีองค์กรอิสระที่อาจถูกแทรกแซง ขณะที่ความเสียหาย และความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้รับการใส่ใจ ไม่มีการแก้ไขจนความเดือดร้อนสะสมมากขึ้น
ดังนั้น หากการพิจารณาขององค์กรอิสระล่าช้าเกินไป หากผลการตัดสินค้านต่อความเชื่อของประชาชน และหากปัญหาชายแดนหนักมากขึ้น ความเชื่อมั่นของประชาชนจะลดลง
แบบนี้ เสียงเรียกร้องให้รัฐประหารจะดังขึ้นแทนที่เพื่อรีเซ็ตประเทศไทย
วันนี้ ประเทศไทยจะรีเซ็ตตัวเองจนเทียบเท่าเกาหลีใต้ที่ประธานาธิบดีที่ทุจริตทุกคนถูกจับติดคุกจริงจึงขึ้นอยู่กับองค์กรอิสระจะทำหน้าที่ได้เร็ว ได้ยุติธรรม จะจับนักการเมืองทุจริตให้ติดคุกจริงได้มากแค่ไหน จะสร้างการหลาบจำ และจะหยุดการเมืองน้ำเน่าได้มากแค่ไหนเท่านั้น
การแยกนักการเมืองที่ทุจริต แยกคนที่ขาดความสามารถให้ออกจากถนนการเมืองได้มาก และได้เร็วจึงเป็นการรีเซ็ตประเทศไทยโดยไม่ต้องมีการรัฐประหารให้เป็นวงจรอุบาทว์อีกต่อไป
หากทำได้ ถนนการเมืองจะสะอาด จะเป็นถนนให้กับคนมีหัวใจสาธารณะ คนที่ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อนมาเป็นผู้นำประชาชนได้ง่าย และมานำประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง.
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
(พื้นที่โฆษณา)
โฉนดแลกเงินด่วน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.75% ต่อเดือน ถูกกฎหมาย
อนุมัติใน 3 วัน ทำสัญญาที่สำนักงานเขตที่ดิน ไม่เช็คบูโร
ติดต่อ https://inno-home.com/loan-lead/
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ https://snp.co.th/e-journal/
Date Published : June 10, 2025

Logistics
อินเดียแซงหน้าญี่ปุ่น: มหาอำนาจทางเศรษฐกิจบทใหม่ในลำดับของเศรษฐกิจโลก
นายบี.วี.อาร์. สุพรามันยม (B.V.R. Subrahmanyam) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งองค์กรนโยบายแห่งชาติของอินเดีย (National Institution for Transforming India: NITI Aayog) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอินเดียมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 4.187 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะขยายตัวทั้งปีที่ 6.2 % ความสำเร็จนี้ทำให้อินเดียขึ้นแท่นประเทศด้วยขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา จีน และเยอรมนี ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ยืนยันข้อมูลดังกล่าว โดยคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) ของอินเดียจะอยู่ที่ 4.187 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 ซึ่งมากกว่าญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อยที่ 4.186 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ประธานเจ้าหน้าที่ NITI Aayog แสดงความเชื่อมั่นว่า หากกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ อินเดียอาจก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกภายในระยะเวลา 2.5 ถึง 3 ปีข้างหน้า
ปัจจัยขับเคลื่อนภาคส่วนและภาพรวมเศรษฐกิจ
1.การบริโภคที่แข็งแกร่ง: การเติบโตของอินเดียยังได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ การใช้จ่ายภาครัฐ และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง
2.การฟื้นตัวของภาคชนบท: อุปสงค์ในชนบทที่กำลังฟื้นตัว อัตราภาษีที่ลดลง นโยบายลดดอกเบี้ย และฤดูมรสุมที่เอื้ออำนวย คาดว่าจะสามารถกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
3.แนวโน้มรายไตรมาส: การเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 (FY25) คาดว่าจะอยู่ที่ 7.0% เพิ่มขึ้นจาก 6.2% ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนถึงแรงหนุนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
4.มุมมองในอนาคต: หากแนวโน้มการเติบโตในปัจจุบันยังดำเนินต่อ อินเดียอาจก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ภาคบริการเป็นหัวใจหลัก: ภาคบริการของอินเดีย เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การเงิน และการค้า เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีสัดส่วนถึง 54% ของ GDP ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการอย่างชัดเจน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วน 26% เช่น การผลิตและก่อสร้าง และภาคเกษตรกรรม เช่น การเพาะปลูกและปศุสัตว์ แม้การจ้างแรงงานจะมีเป็นจำนวนมาก แต่หากพิจารณาแล้วมีสัดส่วนเพียง 20% ในเชิงมูลค่า สะท้อนให้เห็นว่าแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอินเดียในปัจจุบันมาจากภาคบริการเป็นหลัก
2. การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียเป็นผลมาจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง การปฏิรูปเชิงยุทธศาสตร์ และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เอื้ออำนวย
3.วิสัยทัศน์ “Viksit Bharat @ 2047” ขององค์กรนโยบายแห่งชาติของอินเดีย (NITI Aayog) ได้กำหนดแผนงานในการผลักดันให้ประเทศมีขนาดเศรษฐกิจถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2047 โดยเน้น 4 เสาหลัก ได้แก่ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจมหภาค การเสริมพลังแก่ประชาชน การเติบโตอย่างยั่งยืน และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย
1. การก้าวขึ้นของอันดับทางเศรษฐกิจอินเดียในเวทีโลกจะช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และเพิ่มบทบาทของอินเดียในเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ
2. ขนาดตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วและโอกาสในการลงทุนของอินเดียกำลังดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ภาคการบริการ และการผลิต
3. ความเหลื่อมล้ำ: แม้ GDP จะยังคงขยายตัว แต่รายได้เฉลี่ยยังกระจุกตัวในเมืองใหญ่ และแรงงานสตรีมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานเพียง 35.6%
4. การแข่งขันด้านการผลิต: อินเดียต้องเพิ่มสัดส่วนในห่วงโซ่การผลิตโลก (GVC) เพื่อไล่ตามจีนและเวียดนาม โดยเน้นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และคอมพิวเตอร์
ข้อคิดเห็น
1.อินเดียสามารถขึ้นแท่นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและอิทธิพลของอินเดียที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลก โดยมีมูลค่า GDP ประมาณ 4.187 ล้านล้านสหรัฐ ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อินเดียมีเป้าหมายระยะยาว คือ การรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7.8% ตลอด 22 ปีข้างหน้า เพื่อก้าวสู่สถานะประเทศรายได้สูงภายในปี 2593 โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงผลิตภาพแรงงาน แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาของประเทศ และผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ อินเดียยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (26 %) ที่อาจฉุด GDP ลดลง 0.1–0.3% ในปี 2568 หากผลการเจรจาการค้าระยะที่ 1 ยังไม่เป็นผลในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2568 ถึงกระนั้น อินเดียกำลังก้าวขึ้นเป็นแกนนำของ Global South (อินเดีย อินโดนีเซีย บราซิล ฯลฯ) ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม G20 ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้าและความเหลื่อมล้ำในประเทศ ขณะเดียวกัน การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการค้าแบบ South-South จะกำหนดสมดุลอำนาจใหม่ของโลกในยุค Multipolar
2. การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียได้เปิดโอกาสสำคัญให้แก่ผู้ส่งออกไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะการขยายตัวของชนชั้นกลางซึ่งมีแนวโน้มบริโภคสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และผลิตภัณฑ์อาหารจากไทย นอกจากนี้ ไทยยังสามารถแสวงหาโอกาสด้านการลงทุนผ่านความร่วมมือในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ในสาขาศักยภาพ อาทิ การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการศึกษา เพื่อใช้ประโยชน์จากตลาดอินเดียที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการส่งเสริมและพัฒนาความตกลงทางการค้าแบบทวิภาคีระหว่างไทยกับอินเดียอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรและเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงตลาดอินเดีย ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่มีอำนาจซื้อสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ภาคธุรกิจ และพันธมิตรทางการค้า อินเดียในวันนี้คือโอกาสที่น่าจับตามอง ในฐานะศูนย์กลางการผลิต ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ และแหล่งนวัตกรรมระดับโลก
ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/205928








Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!