CEO ARTICLE
No Man’s Land
อะไรคือข้อดีและข้อเสียของ No Man’s Land ?
คำว่า “No Man’s Land” แปลตามศัพท์หมายถึง แผ่นดินที่ไม่มีมนุษย์อาศัย
คำนี้ปรากฎครั้งแรกในปี ค.ศ. 1086 จากหนังสือ “Domesday Book” เพื่อใช้อธิบายพื้นที่บางส่วนที่อยู่นอกกำแพงเมืองลอนดอน (PPTV Online เผยแพร่ 06 มิ.ย. 68)
มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ให้ความหมาย “No Man’s Land” ว่า พื้นที่หรือแถบดินแดนที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรือควบคุม
มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดให้ความหมายว่า พื้นที่ดินระหว่างพรมแดนของ 2 ประเทศ หรือระหว่าง 2 กองทัพซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สำนักข่าว BBC ได้วิเคราะห์ไว้ 3 ความหมาย ดังนี้
1. ดินแดน หรือที่ดินที่ไม่ได้เป็นของใครอย่างชัดเจน ไม่มีเจ้าของ ไม่ได้เป็นที่ตกทอดของใคร หรือไม่ปรากฎว่าประเทศใดมีอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งนั้น
2. แดนกันชนระหว่างแนวหน้า กองทัพ หรือค่ายทหาร 2 ฝั่งตรงข้ามในสงคราม
3. สิ่งใดก็ตามที่ไม่สามารถฟันธงไปได้ว่า มันเป็นอย่างไรกันแน่ บางทีอาจตีความ หรือเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง ความหมายเดียวกับพื้นที่สีเทา หรือ Gray Area จะขาวก็ไม่ขาว จะดำก็ไม่ดำ
No Man’s Land จึงเป็นคำที่มีหลายความหมาย แต่สื่อในทางเดียวกัน
เกาหลีมีความขัดแย้งภายในประเทศก็ใช้เส้นขนานที่ 38 ให้เป็น No Man’s Land หรือเป็นพื้นที่กันชน แบ่งเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ออกเป็น 2 ประเทศ และเป็นพื้นที่ที่ไม่มีฝ่ายใดเป็นเจ้าของ แต่มีประชาชนที่อาจรู้หรือไม่รู้ รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่จนถูกทหารอีกฝ่ายยิงให้เป็นข่าว
ข้อดีของ No Man’s Land จึงเป็นการลดความขัดแย้ง บรรเทาข้อพิพาท ให้พักรบก่อนแล้วค่อย ๆ เจรจากันภายหลัง และห้ามฝ่ายใดรุกล้ำจนกว่าการเจรจาร่วมกันจะได้ข้อยุติร่วมกัน
แต่ข้อดีจะเกิดได้ก็ต้องมีทหารของ 2 รัฐทำหน้าที่รักษาแผ่นดินนั้นให้เป็น No Man’s Land
ทหาร 2 รัฐร่วมกันทำหน้าที่รักษา ขับไล่อีกฝ่าย แต่ในเวลาเดียวกันก็คอยแย่งชิง
ตัวอย่างง่าย ๆ ชาวบ้านของรัฐที่ 1 ไม่รู้ เดินเข้าพื้นที่ No Man’s Land เพื่อหาของป่า หรือสร้างที่ทำกิน หากทหารของรัฐที่ 2 ที่ถูกรุกล้ำไม่ขับไล่ ฝ่ายบริหารของรัฐที่ 1 ที่รุกเข้าไปก็จะเก็บเป็นหลักฐานเพื่อใช้เป็นข้ออ้าง แย่งชิง และครอบครอง No Man’s Land ให้เป็นของตน
นี่คือข้อเสียที่ทำให้เกิดการขับไล่ การต่อสู้ และการแย่งชิงดินแดน
แต่หากผู้รุกล้ำเป็นทหาร เช่น ทหารของรัฐที่ 1 เข้ามาร้องเพลงให้เป็นสัญลักษณ์ ขุดหลุม ตั้งค่าย หรือแสร้งเป็นชาวบ้านเข้ามาทำกิน ทหารของรัฐที่ 2 ที่ถูกรุกล้ำก็ยิ่งต้องขับไล่ หากขัดขืนก็ต้องใช้อาวุธตามคำสั่งที่ได้รับล่วงหน้า และเก็บหลักฐานเพื่อประท้วง หรือฟ้องร้อง
ถามว่า ทำไมต้องใช้อาวุธ และขับไล่กันหนัก ๆ ขนาดนั้น ?
คำตอบง่าย ๆ คือ ไม่มีใครตอบได้ชัด ๆ ว่า พื้นที่ที่ถูกรุกล้ำเข้ามานั้นเป็น No Man’s Land ทั้งหมดหรือไม่ มันอาจเป็นพื้นที่ในแผ่นดินของรัฐที่ 2 ที่อยู่ติดกันก็ได้เพราะไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน
เมื่อไม่ชัดเจน แต่ยอมให้เป็น No Man’s Land ก็อาจเสียแผ่นดินส่วนนั้นไปด้วย
No Man’s Land ที่ไม่ป้องกันให้ชัดเจนจึงเป็นข้อเสีย 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือเสีย No Man’s Land และอีกด้านหนึ่งคือ เสียพื้นที่ในแผ่นดินของรัฐที่ถูกเหมารวมให้เป็น No Man’s Land
ทหารจึงต้องมีคำสั่งและมีความชัดเจนในแบบทหาร
ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารของรัฐที่ 2 ที่ถูกรุกล้ำก็ต้องรู้ เข้าใจ ไม่ขัดแย้งกับทหารที่อยู่แนวหน้าและรู้พื้นที่ดี เช่น ไม่กล่าวว่า พื้นที่ที่ถูกรุกล้ำเป็น No Man’s Land เพราะพื้นที่นั้นอาจอยู่ในแผ่นดินของตนจนทำให้ฝ่ายบริหารของรัฐที่ 1 ที่รุกเข้ามายึดถือเป็น No Man’s Land ก็ได้
การเดินตามผู้รุกล้ำไปสู่ศาลโลก หรือ ICJ (International Court of Justice) ก็เช่นกัน
ศาลมีองค์คณะของศาลที่อยู่ห่างไกลคนละซีกโลก มีวัฒนธรรม และมีประวัติศาสตร์ที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่นปราสาทเขาพระวิหารที่มีการอ้างสิทธิ์กันในอดีตจนปี พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ทางขึ้นเป็นของไทยด้วยคะแนน 9 ต่อ 3
คำตัดสินพิกลและขัดต่อสภาพวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์อย่างสิ้นเชิง
รัฐที่นำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกมักรู้ดีว่า No Man’s Land ไม่ใช่ของตน การนำขึ้นสู่ศาลโลกจึงไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่เสมอตัวกับได้ หากฝ่ายบริหารของรัฐที่ถูกรุกล้ำไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไปเดินตามเกมสู่ศาลโลก ความเสี่ยงที่จะเสียดินแดนใน No Man’s Land จึงเป็นไปได้สูง
No Man’s Land จึงมีทั้งข้อดี มีข้อเสีย และมีเกมการเมืองที่ 2 รัฐควรเจรจาตกลงร่วมกัน
ในการเจรจาทุกครั้ง ฝ่ายบริหารของรัฐควรนำความคิดเห็นของทหารแนวหน้าที่รู้จักพื้นที่ดีมาประกอบการตัดสินใจ ความไม่รู้ของฝ่ายบริหารเป็นเรื่องที่เข้าใจและให้อภัยได้
แต่การอวดรู้และไม่ใส่ใจทหารกลับจะทำให้ No Man’s Land สูญเสียไปแทนที่.
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
(พื้นที่โฆษณา)
โฉนดแลกเงินด่วน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.75% ต่อเดือน ถูกกฎหมาย
อนุมัติใน 3 วัน ทำสัญญาที่สำนักงานเขตที่ดิน ไม่เช็คบูโร
ติดต่อ https://inno-home.com/loan-lead/
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ https://snp.co.th/e-journal/
Date Published : June 16, 2025

Logistics
กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดี FTA ไทย – ญี่ปุ่น ส่งออกใช้ e – CO เต็มรูปแบบ มิถุนายนนี้
กรมการค้าต่างประเทศพร้อมให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e – CO ภายใต้ FTA ไทย – ญี่ปุ่น เต็มรูปแบบ ผ่านระบบ SMART CO ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ส่งออกไทย ลดขั้นตอน ลดต้นทุน สร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ e – CO เป็นหลักฐานการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Japan – Thailand Economic Partnership Agreement: JTEPA) สำหรับการส่งออกสินค้าจากไทยไปญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์ โดยเมื่อผู้ประกอบการกรอกข้อมูลในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าในระบบ SMART CO ของกรมการค้าต่างประเทศ และผ่านการอนุมัติจากกรมการค้าต่างประเทศแล้ว ข้อมูลดังกล่าวจะส่งผ่านระบบไปยังญี่ปุ่นทันที โดยไม่จำเป็นต้องยื่นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (CO) ในรูปแบบกระดาษอีกต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศและศุลกากรญี่ปุ่นได้ดำเนินการทดลองการส่งข้อมูล e – CO ระหว่างกันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 จนถึงตอนนี้ได้ปรับปรุงและพัฒนาระบบได้อย่างเสถียรตามเป้าหมายแล้ว พร้อมที่จะใช้งาน e – CO นี้ได้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
นางอารดาฯ กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศเล็งเห็นแล้วว่าไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงดังกล่าวที่อยู่ในระดับสูงจึงได้ผลักดันการเจรจาจัดทำ e – CO ภายใต้ความตกลง JTEPA ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินการเจรจาแก้ไขระเบียบปฏิบัติเพื่อรองรับ e – CO รวมถึงได้พัฒนาระบบการแลกเปลี่ยน e – CO กับญี่ปุ่น จนบรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการบังคับใช้ e – CO ให้ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 ทั้งนี้ ความตกลง JTEPA กำหนดหลักฐานการรับรองถิ่นกำเนิดไว้ 2 รูปแบบ ได้แก่ CO รูปแบบกระดาษ และ e – CO ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่พร้อมจะใช้รูปแบบ e – CO ยังคงสามารถขอ CO ในรูปแบบกระดาษจากกรมการค้าต่างประเทศได้เช่นเดิม
นางอารดาฯ เพิ่มเติมว่า สำหรับความตกลง JTEPA ที่ได้บังคับใช้มากกว่า 18 ปี ถือเป็น FTA ที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสูงติด 5 อันดับแรกของไทยมาโดยตลอด โดยในเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 มีมูลค่าการขอใช้สิทธิฯ 1,572.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 49,206.04 ล้านบาท และแม้ว่าจะมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2.6 % แต่รั้งอันดับ 4 ของ FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด รองมาจาก ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ความตกลงเขตการค้าอาเซียน – จีน (ACFTA) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – อินเดีย (AIFTA) โดยมีรายการสินค้าสำคัญที่มีการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1) ไก่ชนิดแกลลัสโดเมสติกัสที่ปรุงแต่งหรือที่ทำไว้ไม่ให้เสีย 2) ชิ้นเนื้อและส่วนอื่นที่บริโภคได้ของสัตว์ปีกเลี้ยง แช่เย็นจนแข็ง 3) เดกซ์ทริน และโมดิไฟด์สตาร์ชอื่น ๆ 4) ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง 5) ผลิตภัณฑ์พลาสติก โพลิอะซีทัล โพลิอีเทอร์อื่น ๆ ที่มีค่าความหนืด 78 มิลลิลิตร ต่อกรัม หรือสูงกว่า
นอกจากการพัฒนาระบบ e – CO ภายใต้ความตกลง JTEPA ในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับ FTAs อีกหลายฉบับ เช่น ATIGA AIFTA ความตกลงเพื่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ และเจรจาเพื่อจัดทำ FTAs กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ (อาเซียน-แคนาดา และไทย-สหภาพยุโรป (EU)) โดยมุ่งเน้นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตของไทยและแนวปฏิบัติที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ โทร. 1385
ที่มา: https://www.dft.go.th/th-th/NewsList/News-DFT/Description-News-DFT/ArticleId/29360/29360








Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!