SNP NEWS
ฉบับที่ 382
CEO Article
“โยงสมาชิก”
“เจ้านายค่ะหนูขอลากลับบ้าน 3 วันไปเลือกตั้งนะคะ” “เฮ้ย งานกำลังยุ่งเชียว นี่เธอสนใจการเมืองขนาดนี้เลยหรือ แล้วคนที่พวกเธอจะไป
เลือกมีความรู้ความสามารถอะไรบ้าง ???”“หนูไม่ได้สนใจการเมือง คนที่จะเลือกก็ไม่รู้จัก แต่พ่อเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แล้ว
พ่อก็รับค่าหัวเขามาทั้งครอบครัวแล้วจึงต้องเกณฑ์พวกหนูให้ไปเลือกค่ะ”“อ้าว แล้วค่าหัวที่ได้กับค่ารถค่าเสียเวลา มันคุ้มกันไหมนี่”
“คุ้มหรือไม่คุ้มหนูก็ต้องไป ถ้าไม่ไปพ่อจะเดือดร้อน รับของเขามาแล้ว เมื่อคืนพ่อก็โทรมาตาม”“เขาเลือกตั้งกันวันเดียว นี่เล่นลาตั้ง 3 วัน แล้วถ้าไม่ให้ไปละ”“พ่อให้อยู่ร่วมฉลองต่อ อย่างไรพวกหนูก็ต้องไป ถึงจะไล่ออกก็ต้องไปค่ะ”นายจ้างที่มีประสบการณ์ข้างต้นมองว่า ชาวบ้านเป็นสมาชิกพรรคการเมืองทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจการเมืองและไปเลือกตั้งเพราะได้เงินตรงกันข้ามกับนายจ้างที่ไม่เคยรับรู้เรื่องแบบนี้มาก่อนก็มองว่า ชาวบ้านเป็นสมาชิกและไปเลือกตั้งเพราะศรัทธา ไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องขณะที่นายจ้างอีกส่วนหนึ่งก็ว่ามันทั้งศรัทธาทั้งได้เงินนั่นละ แยกกันไม่ออกประเทศไทยเดียวกันแท้ ๆ นายจ้างก็เหมือนกัน แต่กลับมีมุมมองที่ต่างกันก็เพียงเพราะนายจ้างพบเห็นเรื่องแบบนี้ในมุมที่ต่างกันเท่านั้นเองมันก็เหมือนกับงานวิจัยในเรื่อง “เงินมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งหรือไม่” นั่นละ นักการเมืองจะหยิบงานวิจัยที่ต่างกันมาอ้างอิงนักการเมืองที่ซื้อเสียงก็จะหางานวิจัยที่แสดงว่าเงินไม่มีอิทธิพลมารองรับประชาชนเป็นสมาชิกพรรคและมาเลือกตั้งเพราะศรัทธา ตรงกันข้ามกับนักการเมืองที่ไม่ใช้เงินและพ่ายแพ้ก็จะหางานวิจัยที่แสดงว่าเงินมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งคนส่วนใหญ่มองว่า พื้นฐานประชาธิปไตยต้องมีพรรคการเมือง ต้องมีสมาชิก ต้องมีการเลือกตั้ง และต้องมี ส.ส.คนส่วนน้อยจริง ๆ จะรู้ว่า ส.ส. ทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนในการออกกฎหมายให้เป็นของประชาชน ฝ่ายบริหารต้องนำกฎหมายนั้นมาบังคับใช้กับประชาชน ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงหาก ส.ส. มีที่มาจากเงินซื้อเสียง กฎหมายที่ออกมาบังคับประชาชนก็จะเป็นประโยชน์ให้กับเจ้าของเงินที่ใช้ซื้อเสียงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนประโยชน์ของประชาชนจะมีเป็นส่วนน้อยเพื่อให้ ส.ส. นำมาอ้างอิงตัวอย่างง่าย ๆ กฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มน้ำเมา หาก ส.ส. เข้ามาด้วยเงินของผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำเมา กฎหมายนี้จะออกมาลำบากมากพรรคการเมืองต้องมีนโยบาย สมาชิกพรรคต้องมีส่วนร่วม และที่มาของ ส.ส.ต้องโยงกับสมาชิกพรรคด้วยความบริสุทธิ์ ก่อนที่จะส่งมอบให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งลงคะแนนนอกจาก ส.ส. ต้องไม่มาด้วยเงินซื้อเสียงแล้ว ที่มาของ ส.ส. ก็น่าจะเชื่อมโยงสมาชิกพรรคการเมืองอีกด้วยประเทศไทยวนเวียนกับเงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งจริงหรือไม่ ไม่มีใครกล้ายืนยัน แต่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ว่ากี่คณะที่ผ่านมาก็วนเวียนอยู่กับการป้องกันการซื้อเสียงไม่รู้จบหากการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันการซื้อเสียงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก การสร้างระบบให้การซื้อเสียงเป็นไปอย่างซ้ซากโดยการโยงกับสมาชิกพรรคการเมืองให้มากขึ้น
จนคนซื้อเสียงเบื่อที่จะซื้อก็น่าจะเป็นอีกหนทางหนึ่งใครอยากซื้อเสียงแล้วหนีรอดกฎหมายที่เข้มงวดได้ก็ให้มาเจอด่านซ้ำซากที่ว่านี้
โดยจัดระบบการส่ง ส.ส. ลงสมัครให้โยงกับสมาชิกพรรคการเมือง ดังนี้
1. ส่งเสริมให้มี ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเดียวโดยกำหนดเป็นโซนเลือกตั้งใหญ่ ๆแทน โซนหนึ่งให้มี ส.ส. บัญชีรายชื่อได้ 10 คน หากต้องการให้มี ส.ส.รวม 500 คนผลที่เกิดขึ้นจะทำให้หลายอำเภอหรือหลายจังหวัดมารวมเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกันการหาเสียงก็ทำในนามของพรรคการเมืองและการซื้อเสียงจะกว้างและยากยิ่งขึ้น
2. ส่งเสริมพรรคการเมืองดีให้เข้มแข็ง พรรคการเมืองหนึ่งต้องมีสมาชิกครบทุกโซนอย่างน้อยโซนละ 100,000 คน ทุกพรรคจดทะเบียนต้องมีสมาชิกครบทั้ง 50 โซนเมื่อรวมแล้ว ทุกพรรคการเมืองต้องมีสมาชิกทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 5 ล้านคนประชาชน 1 คน จะเป็นสมาชิกกี่พรรคก็ได้พรรคการเมืองมีหน้าที่ตรวจสอบสมาชิกให้เป็นตามคุณลักษณะที่ กกต. กำหนดเอง โดย กกต. จะตรวจสอบในภายหลัง หาก กกต. พบว่าสมาชิกมีคุณลักษณะขัดต่อข้อกำหนดในภายหลัง ให้ถือเป็นความผิดของพรรคที่มีโทษปรับซึ่งจะทำให้ กกต. ลดความเร่งด่วนในงานตรวจสอบลงไป
3. พรรคการเมืองจัดบัญชีผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อโซนละ 10 คน ให้ครบ 50 โซนเสนอ กกต. ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ 120 วัน หากมีการยุบสภาก่อนก็ให้กำหนดวันเลือกตั้ง 180 วัน และให้ปลัดกระทรวงรักษาการระยะเวลา 120 หรือ 180 วันที่กำหนด ทุกพรรคต้องจัดสมาชิกที่มีอย่างน้อยโซนละ 100,000 คน ให้มาลงคะแนนเบื้องต้นเพื่อจัดลำดับบัญชีผู้สมัคร ส.ส. ก่อนการรับสมัคร ส.ส. จริงด้วยตนเองภายใต้เงินอุดหนุน เงื่อนไข และการกำกับโดย กกต.ใครจะเรียกการลงคะแนนเบื้องต้นเพื่อจัดลำดับบัญชีผู้สมัคร ส.ส. แบบไทย ๆว่า Primary Vote ก็ได้ ทุกพรรคการเมืองไม่ต้องจัดให้ลงคะแนนเบื้องต้นพร้อมกันเพื่อให้คนที่เป็นสมาชิกหลายพรรคสามารถลงคะแนนเบื้องต้นได้ทุกพรรคการเมือง
4. การลงคะแนนเบื้องต้นเพื่อจัดลำดับ หากโซนใด สมาชิกพรรคมาลงคะแนนไม่ถึง 100,000 คน ก็ให้จัดลงคะแนนกันใหม่เป็นครั้งที่ 2 หากครั้งนี้ สมาชิกยังมาไม่ถึง100,000 คน ก็ให้ถือว่า พรรคนั้นหมดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในโซนนั้นพรรคไหนอยากให้สมาชิกลงคะแนนเกิน 100,000 ก็ต้องประชาสัมพันธ์และเกณฑ์สมาชิกมาให้มาก ๆ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อคนไหนอยากได้ลำดับที่ 1 ก็ต้องทำทุกวิถีทางให้ได้คะแนนมากที่สุดก่อน ไม่ว่าจะเป็นด้านผลงาน จริยธรรม หรือภาพลักษณ์แต่หากใครคิดจะซื้อเสียง นอกจากต้องหนีตรวจสอบให้ได้แล้ว ยังต้องจ่ายเงินสู้กันเองภายในพรรคเพียงเพื่อให้ได้คะแนนลำดับต้น ๆ โดยยังไม่ได้เป็น ส.ส.
5. เมื่อสมาชิกพรรคลงคะแนนได้ลำดับผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อเสร็จสิ้นแล้วก็ให้นำบัญชีรายชื่อมาลงสมัครเลือกตั้งทั่วไปในวันเลือกตั้งใหญ่ เพื่อให้ประชาชนที่มีสิทธิ์ทั้งหมดในแต่ละโซนเป็นผู้เลือกพรรคการเมืองเพียงเบอร์เดียวในขั้นนี้ ใครอยากซื้อเสียงแล้วหนีรอดได้ก็ต้องจ่ายเงินมากเป็นรอบที่ 2 หากมีใบเหลืองหรือใบแดงจนต้องเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น การเลือกตั้งใหม่ในโซนที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้การซื้อเสียงต้องจ่ายเงินมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
6. เมื่อผลคะแนนที่ทุกพรรคในแต่ละโซนได้รับเป็นข้อยุติ ก็นำมาคำนวณเฉลี่ยตามลำดับบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. จนได้ ส.ส. ครบทุกโซน
การกำหนดให้มี ส.ส. บัญชีรายชื่อเพียงอย่างเดียวจะทำให้ทุกคะแนนที่ประชาชนมาลงให้พรรคการเมืองไม่สูญเปล่า ทุกพรรคการเมืองจะได้จำนวน ส.ส. ตามการเฉลี่ยทุกคะแนนนี่เป็นแนวคิดปิ้งปลาประชดแมวหลักเกณฑ์ทั้ง 6 ข้อนี้ จะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้น แต่ไม่แข็งมากจนเป็นผู้จัดลำดับผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อได้หมดใครเป็นนายทุนพรรคอย่างเดียวแล้วก็เดินเข้ามาเป็น ส.ส. คงไม่ได้ ต้องมีผล
งาน ต้องให้สมาชิกพรรคในแต่ละโซนยอมรับ และต้องผ่านการจัดลำดับโดยสมาชิกก่อนมันเป็นแนวคิดโยงสมาชิกและพรรคการเมืองให้ร่วมกันรับผิดชอบก่อนส่งมอบให้ประชาชนลงคะแนนในวันเลือกตั้ง และทำให้การซื้อเสียงที่หากจะมีให้มันซ้ำซากขึ้นจนคน
จ่ายเงินเบื่อนี่เป็นแนวคิดปิ้งปลาประชดแมวจริง ๆ แต่หากคิดว่า ส.ส. เขตยังจำเป็นแล้วจะเอามาโยงให้สมาชิกลงคะแนนก่อนให้พรรคส่งสมัครเลือกตั้งแบบปิ้งปลาหลายตัวเพื่อประชดแมวก็คงไม่มีใครว่าอะไรหากคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่รู้จะหาวิธีป้องกันการซื้อเสียงได้พอใจจะลองปิ้งปลาประชดแมวด้วยวิธีนี้ มันก็พอจะมีหลักการและเหตุผลให้ยึดได้
สิทธิชัย ชวรางกูร
The Logistics
เกาะติดสานสัมพันธ์รถไฟไทย-ญี่ปุ่น ลงพื้นที่สำรวจเส้นทางหวังก่อสร้างปี 59นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระบบรางระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ใน 3 เส้นทาง คือ 1. แม่สอด-พิษณุโลก-เพชรบูรณ์-ขอนแก่น-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร ระยะทาง 718 กม. 2. กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง และกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-อรัญประเทศ ระยะทาง 574 กม. และ 3. กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 715 กม.ว่า เส้นทางที่มีความเป็นไปได้ในการก่อสร้างคือเส้นที่ 2 เนื่องจากเป็นเส้นทางรางคู่ และปรับปรุงเส้นทางเดิม คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 59 โดยกระทรวงคมนาคมจะจัดทำรายละเอียดเส้นทางทั้งหมดเสนอต่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นในวันที่ 25-28 พ.ย.นี้“ขณะนี้ญี่ปุ่นได้ลงพื้นที่สำรวจเส้นทางรถไฟสายนี้แล้ว จะเร่งสรุปรายละเอียดแนวเส้นทางทั้งหมด เพื่อวางกรอบแนวทางการดำเนินโครงการและรูปแบบการลงทุนต่อไป ส่วนรถไฟความเร็วสูงเส้นที่ 2 กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะ 715 กม. นั้น จะศึกษาและสำรวจความเป็นไปได้โครงการให้ได้ข้อสรุปภายใน มิ.ย.59 เนื่องจากญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะก่อสร้างเป็นรถไฟความเร็วสูงแบบชินคันเซนตลอดเส้นทาง จึงต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่วนเส้นที่ 3 ญี่ปุ่นก็ได้ส่งทีมลงพื้นที่สำรวจเช่นกัน จึงต้องรอผลศึกษาสำรวจแนวเส้นทางที่ชัดเจน เพราะอาจมีการปรับแนวเส้นทางเดิมบางส่วน หลังจากนั้นจะจะ
สรุปว่าก่อสร้างเป็นรางขนาด 1 เมตร หรือ 1.435 ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา- ระยอง และกรุงเทพฯ-หัวหิน นั้น ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ทำการศึกษา คาดว่าจะเปิดประมูลก่อสร้างภายในปี 59 ส่วนความร่วมมือรถไฟไทย-จีน กระทรวงคมนาคมจะเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า”เปลี่ยนพันธุ์ทิพย์ต้อนรับ AECเสี่ยเจริญ ทุ่ม 500 ล้าน พลิกโฉม พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำสู่ เทคไลฟ์ มอลล์ เปิด 6 โซนตอบทุกไลฟ์สไตล์ รับประกันความครบเครื่อง ยิ่งใหญ่อลังการแน่นอน คาดเปิดตัวกลางปี 59เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทลบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีซีซี กรุ๊ป ได้ทุ่มงบ 500 ล้านบาท เพื่อปรับเปลี่ยนโฉมของ “พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ” ให้เป็นรูปแบบใหม่ในสไตล์ล้ำยุค รีโนเวททั้งภายนอกภายใน ปรับบันไดเลื่อนทั้งหมดให้เป็นลิฟต์ ตอกย้ำความเหนือชั้นในด้านศูนย์ไอที
รับประกันว่าครบครันทุกเรื่องอย่างแน่นอนทั้งนี้ นายณภัทร เผยว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดความเป็นที่สุด
ของศูนย์กลางทางด้านสินค้าไอทีของพันธุ์ทิพย์ ให้มาเป็นที่สุดของศูนย์กลางสินค้าด้านไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี ซึ่งจากนี้เราจะไม่ได้มีเพียงอุปกรณ์ไอทีจำหน่ายอย่างเดียวแล้ว แต่ยังขยายกลุ่มสินค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองเทรนด์และสร้างเทรนด์ให้กับลูกค้า
AEC Info
และจากการต่อยอดคอนเซ็ปต์นี้ ทำให้บรรดาผู้เช่าทั้งรายเล็กรายใหญ่ ต่างสนใจติดต่อขอเช่าพื้นที่กันอย่างมากมาย
สำหรับการปรับโฉม จะเปลี่ยนแปลง พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำให้เป็น เทคไลฟ์ มอลล์เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกประเภท พร้อมรวมสุดยอดเทคโนโลยีหลากหลายทั้งเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในที่พักอาศัย เทคโนโลยีการสื่อสาร เทคโนโลยี
อาคารสำนักงาน เทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนอกจากนี้ ยังบริการผู้ช่วยสมบูรณ์แบบอย่าง Techno concierge ที่พร้อมให้คำปรึกษาลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าภายในศูนย์อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีศูนย์ซ่อมจาก
หลากหลายแบรนด์ดังระดับโลก บริการธนาคารชั้นนำบริการค่ายโทรศัพท์มือถือทุกค่ายและฟู้ดคอร์ทกว่า 15 ร้านค้า พร้อมกับสถานที่ให้นั่งเล่นชิล ๆ ซึ่งพันธุ์ทิพย์โฉมใหม่นี้ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการประมาณกลางปี 2559สำหรับการแบ่งโซนของพันธุ์ทิพย์ โฉมใหม่ จะมี 6 โซนด้วยกัน ได้แก่…
1. Retro town จำหน่ายสินค้าอุปกรณ์หลากหลายประเภท ราคาคุ้มค่า ในแบบดั้งเดิมของพันธุ์ทิพย์ จะขยับไปอยู่โซนด้านหลัง
2. Home Audio และ Music Plug in สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแต่งบ้าน รวมสินค้าเครื่องเสียงภายในบ้านให้ได้เลือกซื้อ
3. Smart Office Solution พื้นที่แสดงการจัดสำนักงานแบบประหยัดเนื้อที่ประหยัดพลังงาน ตอบโจทย์คนทำงานกลุ่ม SME
4. Co-working Space เปิดเป็นสำนักงานให้เช่า
5. Game เป็นโซนโลกของผู้ชาย จะมีสินค้าตั้งแต่ของเล่นวัยเด็ก ไปจนถึงเกมคอมพิวเตอร์
6. Handy Man โซนซ่อมคอมพิวเตอร์ และสินค้าไอทีอื่น ๆ กับคอนเซ็ปต์ ไม่มีคอมฯ ใดในโลกที่ช่างพันธุ์ทิพย์ ซ่อมไม่ได้ท้ายนี้ นายณภัทร เผยว่า การเปิดตัวของพันธุ์ทิพย์ จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งเวลานั้นถนนทุกสายในกรุงเทพฯ จะต้องพุ่งตรงมาที่พันธุ์ทิพย์ เทคไลฟ์ มอลล์ อย่างแน่นอน
ที่มา : KAPOOK.COM
คุยข่าวเศรษฐกิจ
ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ร้อยละ 15 แม้จะมีเขียนในสัญญา หากแก๊งทวงหนี้ฝ่าฝืน โดนคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ-ลูกหนี้ถูกเอาเปรียบเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา โดยมีสาระสำคัญคือห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 แม้จะเขียนไว้ในสัญญาก็ตาม หากปฏิบัติไม่สอดคล้องจะถือว่ามีความผิดสำหรับผู้กระทำผิดจะมีโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นกรณีสมคบกันเกิน 2 คนขึ้นไป หรือเป็นแก๊งทวงหนี้จะมีโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปร่วมด้วยจะมีโทษเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งจากปกติ และกรณีที่ศาลลงโทษจำคุกรอลงอาญา ศาลอาจเรียกเงินประกัน หรือห้ามประกอบอาชีพบางอาชีพได้อีกด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ทำซ้ำ
หรือข่มขู่ลูกหนี้อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นการปรับปรุง พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 จะไม่บังคับแก่สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต เนื่องจากมีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกฎหมายสถาบันการเงินบังคับเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว
ที่มา : kapook.com