SNP NEWS

ฉบับที่ 385

CEO Article

“เส้นทาง”

SNP-NEWS-385-01
“ผมไม่ชอบบรรยากาศเย็นวันอาทิตย์แบบนี้เลย”

“ทำไมละ”

“ก็มันดูเงียบเหงาวังเวงไม่เหมือนตอนเรียนหนังสือนะซิ”
บทสนทนาข้างต้นอาจเกิดขึ้นกับใครและเมื่อไหร่ก็ได้สำหรับคนผู้หนึ่ง เย็นวันอาทิตย์อาจเป็นวันที่มีบรรยากาศหดหู่สำหรับเขา ไม่ว่าจะอยู่ใน
วัยทำงาน หรือเป็นนักเรียน เว้นแต่เขาจะมีกิจกรรมที่เพลิดเพลินสนุกสนานทำการสนทนาข้างต้นจึงเกิดขึ้นในเย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง เสียงเด็กจบใหม่ผู้หนึ่งได้เปรยขึ้นให้ผู้ปกครองของตนฟังขณะที่ทั้งคู่กำลังพักผ่อนอย่างเงียบเหงาอยู่กับบ้านด้วยประโยคข้างต้นครอบครัวเล็กอาจเป็นเช่นนี้ ในขณะที่ครอบครัวใหญ่หากต่างคนต่างหนีหน้าไปตามกิจกรรมของตนคนละทาง เย็นวันอาทิตย์ก็อาจมีบรรยากาศวังเวงก็ได้เช่นกันหากอยู่ในมหาวิทยาลัย บรรยากาศเย็นวันอาทิตย์ของเด็กจะเต็มไปด้วยสีสันต์และวุ่นวายอยู่กับการเรียน ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ และความบันเทิงเป็นส่วนใหญ่เป้าหมายของเด็กในมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะอยู่กับการช่วงชิงคะแนน การสอบให้ผ่านที่มีความรับผิดชอบเฉพาะส่วนตนเด็กส่วนน้อยจริง ๆ จะมีชีวิตวัยเรียนร่วมกับการทำงานพร้อม ๆ กันไม่ว่าจะเป็นการทำงานให้กับผู้ปกครองหรือการรับจ้างผู้อื่น
เมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน วงจรชีวิตจึงเริ่มเปลี่ยนแปลง สีสันต์ก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเด็กจบใหม่จะค่อย ๆ ซึมซับชีวิตการทำงาน และจะค่อย ๆ พบว่า วิชาความรู้ที่เรียนมากับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในการทำงานนั้น บางเรื่องก็เหมือนหรือคล้ายกันในขณะที่บางเรื่องกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเด็กจบใหม่บางคนถึงกับอุทานว่า ทำไมสิ่งที่เรียนมากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในการทำงานมันช่างต่างกันราวฟ้ากับดินนี่คือโลกแห่งความจริงเด็กจบใหม่ต้องถูกฝึกวินัยการทำงานอย่างเคี่ยวกรำ ต้องอดทนให้เคยชินกับสภาพแวดที่กำลังหล่อหลอม ต้องมีรายได้และมีรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นสภาพแวดล้อมที่กำลังส่งมอบประสบการณ์ชีวิตการงานที่มีความหดหู่ของบรรยากาศ
เย็นวันอาทิตย์เป็นแบล็คกราวด์มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการฝึก ร.ด. นั่นละเด็กคนไหนอดทนไม่ได้ ฝึกฝนวินัยการทำงานในตอนต้นไม่ได้ อดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่ได้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาไม่ได้อะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กผู้นี้ ???เมื่อประกอบกับบรรยากาศที่หดหู่ของวันอาทิตย์และการทำงานที่น่าเบื่อในแต่ละวันเด็กก็มีโอกาสที่จะเบื่อหน่ายและอาจตัดสินใจเปลี่ยนทางเดินในทางที่ผิด ๆ ได้ง่าย
การเดินในทางลัด หรือการเดินเข้าสู่หนทางที่ผิดก็อาจเกิดขึ้นในห้วงเวลาแบบนี้มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีหรือร้ายก็ได้มันอยู่ที่เด็กจะเลือกทางไหนการพนัน การค้ายา การทำสิ่งผิดกฎหมาย มั่วสุมอบายมุข หรือความล้มเหลวด้านวินัยพื้นฐานก็จะค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาสู่เด็กอย่างไม่รู้ตัวเด็กอาจมีรถยนต์คันหรูขับอวดเพื่อน อาจมีบ้านราคาแพง หรืออาจมีทรัพย์สินเงินทองจากการทำงานที่ผิด จนได้รับการยกย่องเสมือนหนึ่งว่าประสบความสำเร็จจากการเลือกเดินในเส้นทางที่ผิดมันคือภาพลวงตาเมื่อการเริ่มต้นชีวิตทำงานบนเส้นทางที่ผิด ตลอดทางเดินก็จะมีแต่เรื่องผิดที่ค่อยๆ คืบคลานตามมาทั้งการหลบหนี การจับกุม และการถูกลงโทษสุดท้ายไม่ช้าก็เร็ว ภาพที่แท้จริงก็จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นและมีผลต่อการสูญเสียในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตรงกันข้าม หากเด็กจบใหม่อดทนได้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ดีที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาได้ เด็กจะได้วินัยพื้นฐานติดอยู่กับตัวและจะได้รับประสบการณ์และความรู้ในหน้าที่การงานที่ติดตัวไปจนวันตายจากนั้นก็รอเพียงจังหวะชีวิตเท่านั้น จังหวะชีวิตที่ทุกคนมี ที่ทุกคนจะได้รับเท่าๆกัน และจะเข้ามาสร้างโอกาสให้ทุกคนเหมือน ๆ กันเมื่อใดที่จังหวะชีวิตที่ดีเข้ามา หากมีวินัยพื้นฐานและประสบการณ์มากพอเด็กก็จะมองเห็นและคว้าจังหวะที่ดีนั้นไว้ได้ ชีวิตการทำงานของเด็กนั้นก็จะค่อย ๆ เติบโตขึ้นจะค่อย ๆ เจริญก้าวหน้าพร้อม ๆ กับความเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อย ๆ มากขึ้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับความเสี่ยงที่เข้ามาเช่นกัน เด็กที่มีวินัยพื้นฐานและประสบการณ์ก็จะมองออกและไม่รีบคว้าความเสี่ยงให้เกิดความสูญเสีย

ในทำนองเดียวกัน จังหวะชีวิตที่ดีที่อาจเข้ามาเร็วเกินไปแต่หากเด็กยังมีวินัยพื้นฐานและประสบการณ์ไม่เพียงพอ การเร่งรีบไคว่คว้าก็อาจกลายเป็นความสูญเสียแทนที่ก็ได้เช่นกันเส้นทางชีวิตของคนผู้หนึ่งได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จหรือความล้มเหลวก็ตาม ใครเลือกเดินเส้นทางไหนก็ต้องได้รับผลตามเส้นทางนั้นชีวิตเด็กที่เริ่มทำงานด้วยสติ อารมณ์เยือกเย็น ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงาน หนักเอาเบาสู้ เรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ย่อมมีอนาคตแตกต่างจากเด็กที่ขาดสติ ใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ไม่ทุ่มเทการทำงานแต่กลับมองเงินเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดตามสังคมทุนนิยมสังคมทุนนิยมใช้ความสำเร็จและผลกำไรเป็นตัวชี้วัด ทุนนิยมจึงสอนเด็กให้เปรียบ
เทียบกับผู้อื่นจนนำไปสู่การแย่งชิง การอิจฉา และการสูญเสียภาพลักษณ์ที่ดีเด็กจบใหม่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น มีความเสียสละ มีความเที่ยงธรรม ย่อมมีภาพลักษณ์ที่เอื้อต่อโอกาสให้เข้ามาเยือนสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่เดินหน้าเข้ามาเรื่อย ๆ จึงเป็นการเชื้อเชิญ
ทั้งโอกาศและความเสี่ยงที่จะส่งให้เด็กคนหนึ่งก้าวเดินหน้าหรือถอยหลังอย่างไม่สิ้นสุดเส้นทางชีวิตในตอนต้นของเด็กที่จบใหม่จึงเป็นกำหนดอนาคตของเด็กเอง ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามหากเด็กต้องการความเจริญก้าวหน้า ความสงบสุข และความสำเร็จในชีวิต เด็ก
ก็ต้องเลือกฝึกฝนวินัยพื้นฐาน ความอดทน ความเสียสละ และการใช้สติที่เป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศเย็นวันอาทิตย์ หรือเช้าวันจันทร์ที่ต้องทำงาน หรือความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ก้าวเดินเข้ามา ทั้งหมดนี้จึงเป็นเพียงเครื่องมือเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งในเส้นทางชีวิตเท่านั้นเครื่องมือที่เข้ามาในแต่ช่วงเวลาเพื่อหล่อหลอมจิตใจให้เด็กแข็งแกร่งขึ้น
เด็กคนไหนซึมซับบรรยากาศและความเปลี่ยนแปลงที่ค่อย ๆ เข้ามานี้ได้ เด็กคนนั้นก็จะพบบันไดแห่งความสำเร็จจากนั้น เด็กก็เพียงเดินไปตามขั้นบันไดที่เหลือ เส้นทางแห่งความสำเร็จที่กำหนดไว้แล้วก็จะรออยู่เบื้องหน้าให้เด็กเก็บเกี่ยวอย่างไม่ยากเย็น

สิทธิชัย ชวรางกูร

The Logistics

SNP-NEWS-385-03

ฮ่องกง-เปลี่ยนโฉมสนามบินเก่าให้กลายเป็นท่าเรือ Kai Tak Cruise Terminalผลงานสุดสร้างสรรค์ เปลี่ยนสนามบินเก่าให้กลายเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้กลายเป็นศูนย์กลางการเดินเรือในภูมิภาคเอเชีย ผลงานการเปลี่ยนโฉมสนามบินเก่า Kai Tak Cruise Terminal ให้กลายเป็นท่าเรืออันงดงามบนเกาะฮ่องกง ออกแบบโดยบริษัทสถาปัตยกรรม Foster and Partners ที่ตั้งใจสร้างสรรค์ศูนย์กลางเดินเรือแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งหมดล้วนออกแบบบนแนวคิดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ท่าเรือแห่งนี้มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อสะสมพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ใช้ในอาคารนอกจากนั้นยังมาพร้อมระบบเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้สำหรับทำความเย็น ส่วน
โครงสร้างของอาคารเปิดให้แสงสว่างส่องผ่านได้ และบนดาดฟ้ายังมีสวนสีเขียวที่ประยุกต์ใช้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้ จนกลายเป็นสุดยอดอาคารอนุรักษ์พลังงานของฮ่องกง ที่สามารถคว้ารางวัล Green Building Award ไปครองได้สำเร็จ โดยพื้นที่ 52,000 ตารางเมตร ถูกแบ่งเป็น 3 ชั้น ประกอบไปด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร สถานที่จัดแสดงนิทรรศการ รองรับการเทียบเรือขนาดใหญ่และจุผู้โดยสารพร้อมเหล่าลูกเรือได้ประมาณ 6,000 คน

ที่มา : http://www.marinerthai.net/forum/index.php?topic=7362.0

AEC Info

SNP-NEWS-385-04

หมอไทยไม่ไปนอก ปักหลักตั้งรับเออีซีหลายคนเป็นกังวลหลังเปิดประชาคมอาเซียนปลายปีนี้ วงการแพทย์และสาธารณสุขไทยจะหัวปั่นกันหนักกว่านี้สักแค่ไหน ในเมื่อบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลที่มีและให้บริการแก่คนไทยด้วยกันเอง ณ เวลานี้ยังมีไม่พอถึงขั้นขาดแคลนด้วยซ้ำยิ่งกว่านั้นยังมีการแย่งตัวหมอและพยาบาลกันโกลาหล ระหว่างโรงพยาบาลเอกชนกับโรงพยาบาลรัฐ และเอกชนกับเอกชนด้วยกันเองข้อมูลจาก พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา แจ้งว่า ปัจจุบันมีแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนกับแพทยสภารวมทั้งสิ้นจำนวน49,910 คน เป็นชาย 28,896 คน หญิง 21,014 คนเป็นแพทย์ที่ยังมีชีวิตและมีใบอนุญาตให้ประกอบโรคศิลป์จำนวน 48,116 คน มีภูมิลำเนาหรือปฏิบัติงานอยู่ใน กทม.22,797 คน อยู่ต่างจังหวัด 22,652 คน และอยู่ต่างประเทศ 472 คนถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ไปจำนวน 18 คน อายุเกิน 60 ปี หรือเกษียณอายุราชการไปแล้ว 5,802 คน (บางคนยังรักษาคนไข้ บางคนไม่ได้รักษา)สรุปทั้งประเทศ เวลานี้เหลือแพทย์ที่อายุต่ำกว่า 60 ปี และยังปฏิบัติงานอยู่แค่ 39,647 คนคุณหมออิทธพรบอกว่า แพทยสภารับทราบปัญหาดี จึงพยายามผลักดันให้คณะแพทยศาสตร์ทุกแห่ง เร่งพัฒนาหลักสูตรเพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์ให้มีความรู้ความสามารถในระดับสากล และมีทักษะที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้มากยิ่งขึ้นเช่น มีการเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์อินเตอร์ ซึ่งมีการเรียนและสอนเป็นภาษาอังกฤษล้วน ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์สนับสนุนให้มีการผลิตแพทย์เพิ่มด้วยการเปิดโรงเรียน
แพทย์ของเอกชนที่มีคุณภาพ เช่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
นอกจากนี้ยังให้การรับรองหลักสูตร และสถาบันที่ผลิตแพทย์ของประเทศต่างๆในอาเซียน โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกับของไทย“ขนาดตอนนี้ยังไม่เปิดเสรีก็มีชาวต่างชาติ ทั้งคนงานตามร้าน อาหาร กิจการประมง และแรงงานต่างด้าวที่ทำงานบ้านแห่มาใช้บริการด้านสาธารณสุขของเรากันอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะโรงพยาบาลแถวมหาชัย แม่กลอง เต็มไปด้วยคนไข้ต่างด้าว ตามวอร์ดสูติหรือห้องคลอด เต็มไปด้วยเด็กต่างชาติ แม้แต่ตู้เอทีเอ็มละแวกนั้น ยังต้องเพิ่มภาษาพม่า”นพ.อิทธพรบอกว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่างๆซึ่งมีโรงเรียนแพทย์ทั้ง 21 แห่ง ร่วมกันผลิตแพทย์เพื่อตอบสนองการดูแลสุขภาพคนไทยจำนวน 64 ล้านคนแต่ละปีจะมีแพทย์จบใหม่ประมาณ 2,500-2,600
คน แพทย์เหล่านี้ส่วนหนึ่งไปเรียนต่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญปีละประมาณ 1,600 คน จึงเหลือแพทย์จบใหม่ที่ออกมาปฏิบัติงานจริงประมาณ 1,000 คนรองเลขาฯแพทยสภา บอกว่า ความสามารถของแพทย์ไทยถือว่าเก่งไม่น้อยหน้าประเทศใดในโลก ในแถบอาเซียนยกเว้นสิงคโปร์ประเทศเดียว ที่การแพทย์มีความก้าวล้ำกว่าเราเล็กน้อย“วิเคราะห์ดูแล้ว หลังเปิดเออีซีโอกาสที่หมอไทยจะไปอยู่ประเทศอื่นในอาเซียนคงมีไม่มาก เพราะแต่ละประเทศมีค่าตอบแทน สู้บ้านเราไม่ได้ ยกเว้นสิงคโปร์ประเทศเดียว พยาบาลไทยก็เช่นกัน คงไปอยู่สิงคโปร์ไม่มาก เพราะติดขัดเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษและค่าครองชีพที่แพงพอๆกับรายได้”อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน นพ.อิทธพรบอกว่า ทั้งหมอ
และพยาบาลจากฟิลิปปินส์ เขมร ลาว และเมียนมา น่าจะอยากเข้ามาอยู่ในบ้านเรามากกว่า เพราะแม้แต่ทุกวันนี้โรงพยาบาลในไทยเองหลายแห่ง ที่ขาดแคลนพยาบาล ยังต้องใช้พยาบาลต่างชาติชาวฟิลิปปินส์มีกรณีเดียวที่แพทย์และพยาบาลไทยจะไปอยู่ในประเทศอาเซียน ก็คือ ไปพร้อมกับเครือข่ายของโรงพยาบาลไทยที่ไปเปิดสาขาในต่างประเทศมากกว่าที่จะไปเองเดี่ยวๆรองเลขาธิการแพทยสภา บอกว่า“สิ่งหนึ่งที่น่ากังวลหลังจากเปิดเออีซี ก็คือ ปัญหาหมอเถื่อน ที่อาจหลุดรอดเข้ามาตามขอบตะเข็บชายแดนไทย เพื่อรักษาคนของเขาเอง จะ
ต้องหาทางสกัดกั้นกันต่อไป เพื่อมิให้ไหลทะลักเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเรา” นพ.ตุลย์ ดำรงศักดิ์ ผู้บริหารโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท มองว่า ในอนาคตหลังจากเปิดเออีซี เมืองไทยมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนแพทย์ที่มีประสบการณ์ ทำให้เกิดการให้บริการทางการแพทย์ที่ไม่สมดุลนอกจากนั้นยังอาจมีแนวโน้มการเกิดโรคระบาดใหม่ๆ อันอาจนำมาซึ่งการรักษาที่ผิดกฎหมาย ไร้จริยธรรม และเพิ่มความเสี่ยงในการรักษากับหมอเถื่อนมากขึ้นหมอตุลย์บอกว่า หลังจากเปิดประชาคมอาเซียนจะมีทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงาน ผู้ป่วย แพทย์ และพยาบาล อาจมีทีมแพทย์และพยาบาลของไทยส่วนหนึ่งถูกดึงตัวไปให้การรักษาพยาบาลและดูแลบุคลากรของบริษัทไทยที่ไปปักหลักลงทุนในต่างชาติ
เช่น ทีมที่ไปกับบริษัทขุดเจาะน้ำมันของไทยที่เมียนมา หรือกรณีมีการคมนาคมที่สะดวกขึ้นจากการที่ไทยจะมีรถไฟความเร็วสูง ชาวจีนจากมณฑลกวางสีและยูนนาน อาจโดยสารรถไฟเข้ามาทำการรักษาที่เมืองไทยกันมากขึ้น เป็นต้น“หลายประเทศในอาเซียนหาบุคลากรทางการแพทย์ได้ยาก ปัจจุบันเรามีคนไข้ชาวสิงคโปร์เข้ามารักษาในไทยปีละ 6แสนราย คนไข้จากมาเลเซียปีละ 3 แสนราย ตอนนี้โรงพยาบาลเอกชนของไทยเข้าไปเปิดสาขาที่กัมพูชาแล้ว 2 แห่ง สรุปว่าที่เรากลัวก็แค่ปัญหาเรื่องขาดแคลนบุคลากรเท่านั้น”ขณะที่ พล.อ.ต.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ เสนาธิการกรมแพทย์ทหารอากาศบอกว่า ปัจจุบันเมืองไทยผลิตแพทย์ได้ปีละประมาณ 2,500 คน ผลิตพยาบาลได้ปีละ
10,000 คน เท่ากับว่าหลังเปิดเออีซี เมืองไทยจะขาดแคลนแพทย์เพิ่มขึ้นเป็น 11,974คน และขาดพยาบาลอีก 21,628 คน“ผมเชื่อว่าทั้งหมอและพยาบาลไทยส่วนใหญ่คงไม่ไปไหน เพราะอยากอยู่ใกล้ชิดครอบครัว และไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ เราจึงควรใช้จุด
แข็งของเราหาโอกาสจากการเปิดเออีซี เช่น พัฒนาโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางด้านวิชาการแพทย์ในภูมิภาคนี้ พัฒนาศักยภาพของโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็กตามตะเข็บชายแดน และพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยตามด่านช่องทางเข้า-ออก
ให้เป็น one stop service”นพ.อนุตตรบอกว่า แต่เรายังมีจุดอ่อนสำคัญอยู่ที่กลไกการประสานนโยบาย เขายกตัวอย่างทุกวันนี้ สปสช.กับกระทรวงสาธารณสุขยังขัดแย้งกันอยู่เลยถ้าเป็นเช่นนี้ คงยากที่จะไปวางแผนถึงการควบคุมโรคติดต่อในจังหวัดชายแดน
การพัฒนาขีดความสามารถของด่านควบคุมโรคตามตะเข็บชายแดน หรือไม่มีเวลาไปศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อจะรับมือกับโรคภัยของประเทศเพื่อนบ้านที่พร้อมจะทะลักเข้ามากับการเปิดเออีซี.

ที่มาwww.thairath.co.th

คุยข่าวเศรษฐกิจ

SNP-NEWS-385-02

เงินบาทเปิด 35.70/72 แข็งค่าต่อเนื่อง หลัง GDP Q3/58 สหรัฐฯ ออกมาดีตามคาดนักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 35.70/72 บาท/ดอลลาร์แข็งค่าจากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 35.79/81 บาท/ดอลลาร์ “เมื่อคืนไปทำ Low ที่ 35.68/69 เคลื่อนไหวแข็งค่าต่อเนื่องจากเมื่อวาน มีแรงซื้อแรงขายตามตลาดภูมิภาค ดอลลาร์เยนก็ไม่สามารถทำนิวไฮ เมื่อวานดอลลาร์เยนลงมาค่อนข้างแรง จากประมาณ 123 เยน/ดอลลาร์ วันนี้อยู่ที่ 122 ต้นๆ ดอลลาร์บาทก็ถูกดึงลงมาด้วย ช่วงนี้เทรนด์ตาม Technical ตัวเลขสำคัญ GDP สหรัฐฯเมื่อคืนออกมาค่อนข้าง Inline ก็ไม่ได้กระทบอะไร” นักบริหารเงินกล่าวทั้งนี้ มองว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่อง ช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาพยายามจะขึ้นมาตลอด ทำไฮ 36.07 พอไม่ผ่านก็ขยับแข็งค่าลงมาตลอดนักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.65-35.75 บาท/ดอลลาร์

* ปัจจัยสำคัญ
– เงินเยนอยู่ที่ระดับ 122.33 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 122.60
เยน/ดอลลาร์
– เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.0670 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 1.0646
ดอลลาร์/ยูโร
– อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.
คุยข่าวเศรษฐกิจ
คุยข่าวเศรษฐกิจ
อยู่ที่ระดับ 35.8320 บาท/ดอลลาร์
– กรรมการ กนง.เผยความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยมีมากขึ้น ห่วงเศรษฐกิจจีนชะลอ-ภาวะภัยแล้ง เล็งปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ทั้งปีนี้และปีหน้า และประกาศอย่างเป็นทางการในรายงานนโยบายการเงินวันที่ 25 ธ.ค.นี้ ระบุยังไม่วางใจตรึงดอกเบี้ยต่ำนานอาจเกิดเก็งกำไรช่องทางอื่น ถึงจุดหนึ่งควรทยอยปรับสู่ภาวะปกติถึงตอนนั้นมั่นใจเศรษฐกิจฟื้นตัว
– ทีเอ็มบีจับมือ บสย.เตรียมวงเงินปล่อยกู้เสริมสภาพคล่องเอสเอ็มอีส่งออก-นำเข้าที่จะคึกคักขึ้นในปีหน้า หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้น และ CLMV ยังขยายตัวได้ เสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “ทีเอ็มบี ควิก เทรด” ให้วงเงินสูงสุด 40 ล้าน บสย.ค้ำ 100% เผยปล่อยกู้ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS5 อนุมัติแล้วกว่า 2 หมื่นล้าน
– นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ได้เสนอการแก้ไข พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินมาตรา 120 เพื่อให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐได้เต็มที่ เหมือนการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เห็นชอบแล้ว
– แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ศึกษาการให้กองทุนวายุภักษ์ ที่ขณะนี้มีสภาพคล่องประมาณ 1 แสนล้านบาท เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ที่จะจัดตั้งขึ้น โดยให้ สคร.ศึกษาความเป็นไปได้ที่จะให้กองทุนวายุภักษ์ขายหุ้นที่ถืออยู่บางตัว เพื่อนำเงินมาซื้อไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์
– ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) มีมติให้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม 4 จี ให้บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือเอดับบลิวเอ็นในเครือเอไอเอส โดยใบอนุญาตมีผลตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.2558-15 ก.ย.2576หรือ 18 ปี ถือเป็นรายแรกของไทยที่จะได้ใบอนุญาต 4 จีบนคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ซึ่งขณะนี้เอไอเอสพร้อมติดตั้งอุปกรณ์และตั้งเสาโทรคมนาคมราว 1,000 ต้น และคาดว่าจะเปิดให้บริการวันที่ 18 ธ.ค.นี้
– กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)สำหรับไตรมาส 3 ของปีนี้ ขยายตัว 2.1% เมื่อเทียบรายไตรมาส โดยสูงกว่าตัวเลขประเมินก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.5% แต่ต่ำกว่าระดับ 3.9% ในไตรมาส 2 และสูงกว่าคุยข่าวเศรษฐกิจระดับ 0.6% ในไตรมาสแรก
– สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.)หลังจากมีรายงานว่าเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตกในบริเวณชายแดนซีเรีย เนื่องจากการรุกล้ำน่านฟ้า ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 1.12ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 42.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 1.29 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 46.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
– สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.) เพราะได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และข่าวความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากมีรายงานว่าเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตกในบริเวณชายแดนซีเรีย เนื่องจากการรุกล้ำน่านฟ้า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 7 ดอลลาร์ หรือ 0.66% ปิดที่ระดับ 1,073.80 ดอลลาร์/ออนซ์
– ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.)เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์เพื่อทำกำไรหลังการทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างรัสเซียและตุรกี

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2306936