CEO ARTICLE
“รถหรูราคาถูก”
ผู้ครอบครองรถหรูรู้สึกหนาว
ไม่รู้จะโดนเช็คบิลอย่างไร ?
รถหรูราคาถูกวันนี้กำลังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ครอบครอง เว็บไซต์ดัง pantip.com ถึงกับพาดหัวว่า “ใครจะรับผิดชอบเรื่องรถจดประกอบกว่า 7,000 คัน”
ตัวละครหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้น่าจะมีอยู่ 5 กลุ่มด้วยกัน คือ
- ผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าหรือการจดประกอบขึ้นมา
- ผู้ขายต่างประเทศไม่ว่าจะขายเป็นคันสมบูรณ์ หรือแยกชิ้นส่วนขาย
- เจ้าหน้าที่ศุลกากร (Customs Officer)
- ตัวแทน Logistics หรือ Shipping หรือ Customs Broker ที่รับบริการเคลื่อนย้าย
- ผู้ซื้อ ผู้ครอบครองรถเพื่อใช้งานในประเทศไทย
จากข่าวที่ออกมา DSI พยายามหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ว่า การชำระภาษีอากรขณะนำเข้าเป็นเจตนาทุจริต
ผู้ใดกระทำการโดยทุจริต ผู้นั้นก็มีความผิดทางกฎหมาย
เมื่อมีภาษีอากรขาด การชำระให้ถูกต้องก็ย่อมเกิดขึ้น หากพบภาษีอากรชำระขาดจริงแล้วเจ้าหน้าที่ศุลกากรนิ่งเฉยก็จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
แต่มันไม่ใช่เพียงการชำระภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วน
มันยังมีเงินเพิ่มหรือจะเรียกดอกเบี้ยค้างชำระก็ได้ โดยหลักการแล้วภาษีอากรต้องชำระให้ครบถ้วนตั้งแต่วันนำเข้า หากชำระไม่ครบไปกี่เดือน กระทรวงการคลังก็เสียประโยชน์เท่านั้นเดือนเพราะไม่สามารถนำเงินนั้นมาใช้ได้
เงินเพิ่มหรือดอกเบี้ยก็ย่อมเกิดขึ้น
กฎหมายศุลกากรกำหนดเงินเพิ่มสำหรับการชำระอากรขาดไว้เป็นตัวเลขกลม ๆ อัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนนับจากวันนำเข้าโดยไม่คิดทบต้น เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน
ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรก็ร้อยละ 1.50 ต่อเดือน ในหลักการเดียวกัน
หากนำเข้ามาแล้ว 5 ปี รวมแล้วก็ 60 เดือน เงินเพิ่มอากรอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ก็ปาเข้าไป 60% ของอากรที่ชำระขาด
ส่วนเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 60 เดือน รวมก็ 90% แล้วยังมีภาษีอื่นที่เกี่ยวข้องอีก
แต่เดี๋ยวก่อน ยังมีค่าปรับความผิดฐานหลบเลี่ยงภาษีอากรอีก
กฎหมายศุลกากรกำหนดค่าปรับไว้ 4 เท่าของราคาของบวกอากรที่ขาด แต่ในทางปฏิบัติเท่าที่เห็นก็มักสั่งปรับ 2 เท่าของอากรที่ขาด
ส่วนกฎหมายอื่น ๆ ที่มีภาษีเกี่ยวข้องก็มีอัตราค่าปรับฐานความผิดแตกต่างกันไป
ในภาพรวมที่ DSI แถลงออกมา มีตัวเลขภาษีอากรขาดหายไป 2 พันกว่าล้านบาท มันจึงอาจกลายเป็นเกมล้มละลายของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความผิดเลยทีเดียว
ใครไม่โดนกับตัวไม่รู้หรอก
ตัวละครหลัก ๆ 5 กลุ่มที่เกี่ยวข้องนั้น หากการหลบเลี่ยงภาษีอากรเป็นจริง การชำระภาษีอากรที่ขาดก็ต้องให้ครบถ้วน เงินเพิ่มและค่าปรับตามกฎหมายก็ต้องจ่าย
แล้วใครบ้างต้องรับผิดชอบกันอย่างไร ?
- ผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายในประเทศ ผู้นำเข้าเป็นผู้รับเอกสารจากผู้ขายต่างประเทศเข้ามา แล้วยื่นราคาต่ำกว่าการซื้อขายจริงเพื่อสำแดงต่อศุลกากร
ความผิดในทางศุลกากรชัดเจนที่สุด มีความผิดฐานตัวการที่น่าจะหนักสุด
- ผู้ขายในต่างประเทศ ผู้ขายอยู่นอกราชอาณาจักรที่กฎหมายเอื้อมไม่ค่อยถึง แต่ไม่ว่า DSI หรือกรมศุลกากรอยากได้หลักฐานการซื้อขายและการรับเงินก็ต้องเกลื่อกล่อมจากคนกลุ่มนี้
หากมีการขอความร่วมมือจากรัฐบาลในประเทศผู้ขาย การขอข้อมูลจากโรงงานผู้ผลิต คนกลุ่มนี้ก็ย่อมร่วมมือด้วยง่าย ๆ แล้วทั้ง DSI หรือกรมศุลกากรก็น่าจะได้หลักฐานง่ายขึ้น
ส่วนผู้ขายต่างประเทศจะผิดมากน้อยแค่ไหนก็คงเป็นเรื่องกฎหมายภายในประเทศนั้น
- เจ้าหน้าที่ศุลกากร (Customs Officer) ผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชั่นแล้วมีหลักฐานถึงก็คงหนีไม่พ้นคดีอาญา
ตรงกันข้าม หากเป็นการกระทำโดยสุจริต เช่น ขณะนำเข้าไม่มีประกาศหลักเกณฑ์การประเมินราคากำหนดตามระบบ GATT อย่างชัดเจน เลยไม่มีใครรู้
แบบนี้ก็อาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
- ตัวแทน Logistics หรือ Shipping หรือ Customs Broker ที่รับบริการ หากพิสูจน์ได้ว่าคนกลุ่มนี้มีส่วนปลอมแปลงราคา หรือกระทำการโดยทุจริตก็ย่อมมีความผิด
แต่หากรับเอกสารมาจากผู้นำเข้าแล้วไปยื่นโดยสุจริต แบบนี้ก็อาจเป็นอีกเรื่องเช่นกัน
- ผู้ซื้อ หรือผู้ครอบครองรถใช้ในประเทศไทย กลุ่มผู้ครอบครองนี้ละที่อยู่ในกระแสวิจารณ์กันมากขณะนี้ แล้วเป็นไปตามหัวข้อข้างต้น
“ผู้ครอบครองรถหรูรู้สึกหนาว ไม่รู้จะโดนเช็คบิลอย่างไร ?”
ข้อความที่พูดในกัน pantip.com มีหลากหลาย
“เอาไปให้ DSI ตรวจซิ จะได้รู้ว่าถูกหรือผิด ถ้าผิดก็ส่งรถให้ DSI ยึดไปเลย แล้วไปฟ้องร้องจากผู้ขาย” ข้อความที่ 1
“ผู้ขายไม่รู้หายไปไหนแล้วจะไปฟ้องร้องจากใคร ?” ข้อความที่ 2
“เจ้าหน้าทีรัฐปล่อยปละละเลย ทั้งกรมศุลกากรและกรมขนส่งทางบก กล้าจับมาลงโทษรึป่าว ?” ข้อความที่ 3
ข้อความยังมีอีกมาก แต่ทุก ๆ ข้อความก็ทำให้ผู้ครอบครองรถรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมา ส่วนผู้ค้ารถจากนอก รถหรู หรือรถจดประกอบไม่ต้องพูดถึง หนาวจนไม่รู้จะหนาวอย่างไร
บางรายต้องพักกิจการชั่วคราว บางรายก็หนีหายไปตามการวิจารณ์ข้างต้น
ผู้ครอบครองรถหรูจะผิดมาก หรือผิดน้อยเพียงใด จะมีโทษทางอาญาร่วมด้วยหรือไม่ เท่าที่ DSI เคยให้สัมภาษณ์คือ
การดูเจตนาในการซื้อและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีคิดง่าย ๆ ดังนี้
สมมติฐานที่ 1 รถหรูเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมา ไม่ว่าผู้ครอบครองจะรู้ขณะซื้อหรือไม่ก็ตาม อย่างนี้ผู้ครอบครองก็ต้องคืนรถให้เจ้าของเดิมไป ก็มันเป็นรถโจรกรรม
ส่วนความเสียหายก็ต้องไปฟ้องกับผู้ขายอีกต่อหนึ่ง
สมมติฐานที่ 2 มีหลักฐานว่าผู้ครอบครองรถหรูรู้ขณะซื้อว่า รถหรูราคาถูกเพราะหลบเลี่ยงภาษีนำเข้า อย่างนี้ก็มีเจตนาสนับสนุนการหลบเลี่ยงภาษีอากร ตรงนี้ละที่ DSI ต้องพิสูจน์ให้ได้
หากพิสูจน์ได้ อย่างนี้ผู้ครอบครองรถหรูก็ต้องมีส่วนร่วมในความผิด
สมมติฐานที่ 3 ผู้ครอบครองรถหรูซื้อในราคาตลาด หรือต่ำกว่าตลาดเล็กน้อย และซื้อโดยบริสุทธิ์ใจแต่เผอิญรถหรูที่ซื้อกลายเป็นรถหลบเลี่ยงภาษี
อย่างนี้ความผิดโดยเจตนาก็ไม่มี ตรงนี้เช่นกันที่ผู้ครอบครองต้องพิสูจน์ให้เชื่อ
ส่วนจะต้องร่วมรับผิดชอบหรือไม่ รับผิดอย่างไร อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับการสอบ การพิจารณาของ DSI และการตัดสินของศาลยุติธรรม
ไม่ว่าสมมติฐานทั้ง 3 ข้อจะมีส่วนใกล้เคียงกับผู้ครอบครองรถหรูคนใด แต่ผู้ครอบครองรถหรูส่วนใหญ่ก็ไม่มั่นใจว่า ผู้นำเข้าได้ชำระภาษีอากรอย่างถูกต้องจริงหรือไม่
แล้วคำแนะนำใจ pantip.com ก็อาจช่วยได้
“ก็เอาไปให้ DSI ตรวจซิ จะได้รู้ว่าถูกหรือผิด” มันเป็นการแสดงเจตนาบริสุทธิ์ในตัว
บางคนกลับคิดตรงกันข้าม อยู่เฉย ๆ ดีกว่า เอาไปให้ DSI ตรวจทำไม รอโดนเรียกตัวก่อนดีกว่า เผื่อจะไม่ถูกเรียก
ต่างคนต่างความคิด ไม่มีใครตอบได้ว่า ความคิด ใครถูก จนกว่าผลจะเกิดขึ้น
แล้วก็รอกันจนกล่าวจะถูกเรียก หรือไม่ถูกเรียกนั่นละ มันจึงเห็นผล
เอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ จึงเกิดขึ้นก็ตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า “Nothing come for free” ไม่มีอะไรที่จะได้มาฟรี อย่างน้อยก็ต้องเสียรู้สึก เกิดความกลุ้มใจ
รถหรูนำเข้าราคาถูกที่ถูกต้องกฎหมายจึงไม่ใช่ของจะได้กันมาแบบง่าย ๆ หรือฟรี ๆ อย่างที่เห็น มันต้องมีเงื่อนปมที่ผู้ซื้อไม่รู้อีกมาก
ส่วนการสรุปที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร มันก็หนีไม่พ้นวิธีการครอบครองรถ เงื่อนไขมากมายที่เกิดต่างกรรม ต่างวาระ เจตนารมณ์ การพิจารณาของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และการตัดสินของศาลยุติธรรมเป็นขั้นสุดท้าย
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
The Logistics
หน้าทุเรียนออก กับการส่งออกทุเรียน
เมื่อพูดถึงทุเรียน คนที่ชอบทานทุเรียนก็อาจจะเกิดอยากทานทุเรียนขึ้นมาทันที ยิ่งในช่วงนี้มองไปทางไหนก็เจอกับทุเรียนวางขายกันเกลื่อนกลาด ทำให้หลายคนที่ชื่นชอบทุเรียนมีความสุขมาก นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเราแท้ๆเลยทีเดียว ทุเรียนนอกจากจะเป็นผลไม้ยอดนิยมของชาวไทยแล้ว ชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีน ก็นิยมชมชอบทุเรียนเช่นกัน และนับวันความนิยมนี้ก็เพิ่มขึ้นๆ แผ่กระจายไปเรื่อยๆ ซึ่งนี่เป็นโอกาสทองของเกษตรกรไทยที่จะสร้างมูลค่าผลไม้ไทยอย่างยั่งยืน เพราะนอกจากทุเรียนสดแล้ว ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียนก็เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โอกาสนี้ เราจะเขียนถึงการส่งออกทุเรียนสดอย่างย่อๆ กันค่ะ เพื่อให้ FC ทุเรียนได้ภูมิใจกับการที่ทุเรียนไทยไปสู่ตลาดโลกได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือยากในทีเดียว ผลทุเรียนสดจัดเป็นสินค้าที่มีมาตรการในการส่งออก ซึ่งถูกจัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรที่ 0810.60.00 โดยมีระเบียบและหลักเกณฑ์การส่งออก ดังนี้
- ผู้ส่งทุเรียนสดออกไปนอกราชอาณาจักร จะต้องเป็นผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ส่งทุเรียนสดออกไปนอกราชอาณาจักรไว้ต่อกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด และกรมวิชาการเกษตรแจ้งบัญชีรายชื่อและหมายเลขทะเบียนผู้ส่งออกทุเรียนสดให้กรมศุลกากรทราบเพื่อประกอบการส่งออก
- ผู้ส่งออกจะต้องติดป้ายหรือฉลากหรือประทับข้อความ โดยระบุข้อความต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษให้ชัดเจนที่ภาชนะบรรจุ
(1) ชื่อและหมายเลขทะเบียนผู้ส่งออก
(2) ชื่อพืชและพันธุ์
(3) ชั้นและน้ำหนักของสินค้า และ
(4) ประเทศผู้ผลิต
- ผู้ส่งออกรายงานการส่งทุเรียนสดออกไปนอกราชอาณาจักรต่อกรมวิชาการเกษตร ตามหลักเกณฑ์ที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด
- มิให้ใช้บังคับแก่กรณีนำติดตัวออกไปเพื่อใช้เฉพาะตัว หรือการส่งออกโดยมิใช่การค้า หรือเพื่อเป็นตัวอย่างในปริมาณที่สมควร
ก่อนจากกัน สิ่งที่อยากทิ้งท้ายไว้ด้วยความปรารถนาดี สำหรับแฟนข่าวที่ชอบทานทุเรียน ก็อยากให้ทานกันแต่พอดีนะคะ ถ้าทานมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและเงินในกระเป๋าของท่านได้ค่ะ อิอิ ^ ^