CEO ARTICLE
“ 2 เกาหลี ”
ประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
ไทยจะได้ประโยชน์อะไร ???
วันที่ 27 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกอีกวันหนึ่ง เมื่อนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ได้ก้าวข้ามพรมแดนมาสัมผัสมือกับ นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีในฐานะผู้นำสูงสุดของเกาหลีใต้ที่บริเวณเส้นละติจูดที่ 38
เหตุการณ์นี้อาจทำให้สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองโลกเปลี่ยนหน้าใหม่ก็ได้
ในอดีต เกาหลีก็เหมือนประเทศทั่วไป มีการต่อสู้กับศัตรูภายนอก และรบกันเองภายในนับร้อย ๆ ปี กระทั่งตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
พอสงครามโลกสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นแพ้สงคราม สหภาพโซเวียตและจีนก็เข้าควบคุมเกาหลีทางตอนเหนือ ขณะที่อเมริกาและอังกฤษไม่ยอมน้อยหน้าก็เข้าควบคุมเกาหลีตอนใต้บ้าง
พอควบคุมได้ แต่มหาอำนาจกลับตกลงกันไม่ได้ว่า เกาหลีควรปกครองประเทศด้วยระบบประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ ในที่สุด มหาอำนาจก็ตัดสินใจกันเองด้วยการแบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ประเทศโดยใช้เส้นละติจูดที่ 38 เป็นเส้นแบ่งกั้น
การแบ่งเกาหลีจึงเกิดจากภายนอก ไม่ได้เกิดขึ้นจากภายในโดยประชาชนกันเอง
นับจากปี 1950 เป็นต้นมา คนเกาหลีก็ต้องเป็นตัวแทนประเทศมหาอำนาจรบกันเอง จนปี 1953 ก็เกิดการเจรจาหยุดรบกันชั่วคราว
ปัจจุบัน แม้สงครามเกาหลีจะยุติ ดูสงบ แต่ไม่มีใครรู้ว่า มันอาจระเบิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้หากสัญญาหยุดรบยุติลง มีเหตุจูงใจ หรือมหาอำนาจบงการจนโลกทั้งใบอาจวุ่นวายไปด้วย
การพบกันของผู้นำเกาหลี 2 ประเทศนี้จึงเป็นการช๊อคโลกทางหนึ่ง และทำให้หลาย ๆ คนสงสัยว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ???
ผลจากการเจรจากันฉันท์พี่น้องทำให้โลกดูสงบลง ขณะที่เกาหลีเหนือก็ส่งสัญญาณว่าจะไม่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์อีก
มันเกิดได้อย่างไร ในเมื่ออเมริกาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเกาหลีเหนือจนมีทีท่าว่าจะก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อมาผสมกับแผนการพบปะกันระหว่างนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีอเมริกา และนายคิม จอง อึม ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือที่มีข่าวว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2561 วัน เวลา และสถานที่ที่แน่นอนยังไม่มีการประกาศ แต่ก็มีข่าวว่า ประเทศไทยก็อยู่ในข่ายตัวเลือกให้เป็นสถานที่พบปะกัน ข่าวนี้อาจทำให้เกิดภาพว่า อเมริกาอาจเป็นผู้ผลักดัน 2 เกาหลีให้คืนดีกันก็ได้
อีกด้านหนึ่ง หลายเดือนที่ผ่านมา อเมริกากำลังทำสงครามเศรษฐกิจกับจีน ต่างฝ่ายต่างก็ประกาศขึ้นอัตราภาษีให้แก่สินค้านำเข้าของอีกฝ่ายจนดูคล้าย ๆ สงครามเศรษฐกิจ
หรืออเมริกาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเกาหลีใต้ให้มีการพบกันครั้งนี้จริง ๆ เพื่อเข้าถึงเกาหลีเหนือและโดดเดี่ยวจีน ???
ขณะเดียวกัน จีนก็อาจคิดแบบเดียวกับอเมริกาและอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเกาหลีเหนือให้ไปพบผู้นำเกาหลีได้เพื่อโดดเดี่ยวอเมริกาเช่นกัน
แม้แต่สมมติฐานที่ว่า 2 เกาหลีอาจคิดหันหน้าเข้ามากันเพื่อปลดตัวเองออกจากการเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจก็มีความเป็นไปได้ไม่ต่างกัน
ทุกข้อสงสัย ทุกสมมติฐานเป็นไปได้หมด
ต่าง ๆ นานาเหล่านี้ มันทำให้การพบปะของผู้นำ 2 ประเทศนี้ดูน่าจะมีเบื้องหลังและน่าจะมีการเตรียมการมาก่อนหน้านี้ในเวลาพอสมควร
แล้วประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากการพบปะครั้งนี้ ???
การพบปะกันของ 2 เกาหลีในครั้งนี้ ทำให้ปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีดูผ่อนคลายลง ภาพความเป็นเด็กเกเรที่ปรากฎในทางสาธารณะก่อนหน้านี้ของนายคิม จอง อึม ผู้นำเกาหลีเหนือค่อย ๆ หายไป
บัดนี้นายคิม จอง อึม ได้แสดงให้โลกเห็นว่า นายคิมมีวุฒิภาวะสูงพอที่จะเป็นผู้นำ และอาจเป็นผู้นำสันติสุขให้เกิดขึ้นจนทำให้ความหวาดกลัวต่อสงครามผ่อนคลายตามไปด้วย
เมื่อใดที่ภาวะสงครามเบาบางลง การค้า การลงทุนจะกลับมาคึกคักมากขึ้น อย่างแรกเลยก็น่าจะเป็นการท่องเที่ยวของเกาหลีเหนือที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยเข้าชม
เกาหลีด้านเหนืออาจต้องใช้เวลานานเพื่อการท่องเที่ยว แต่เชื่อว่า หากทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี โลกปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก การใช้ประโยชน์ทางการท่องเที่ยวก็คงไม่นานนัก
ข่าวนี้ย่อมกระทบด้านลบต่อการท่องเที่ยวของไทยไม่มากก็น้อย
เมื่อเกาหลีเหนือดูสงบมากขึ้นก็ย่อมเป็นโอกาสของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงไทยด้วยที่จะส่งสินค้า บริการ และ Logistics เข้าไป
ข่าวนี้ย่อมส่งผลบวกต่อไทยมากกว่า แต่แม้จะเป็นข่าวบวก มันก็ขึ้นอยู่กับประเทศไทยอีกนั่นละที่จะเตรียมการ ไขว่คว้าได้มากน้อยเพียงใด
ประเทศอื่นคงพอมองเห็นและเตรียมการได้เร็ว แต่ประเทศไทยกลับยังติดหล่มอยู่กับปัญหาความขัดแย้งภายในและการเมือง
หากภายหลังการเลือกตั้ง รัฐบาล คสช. ได้อำนาจบริหารประเทศต่อ การให้อิสระทางการเมืองก็ย่อมทำให้การชุมนุม การประท้วง การต่อต้านตามมาอีก ตรงกันข้าม หากภายหลังเลือกตั้งแล้วได้รัฐบาลจากพรรคการเมือง บทเรียนในอดีตทำให้เห็นว่า การชุมนุม การประท้วง การต่อต้านก็จะตามมาอีก
สรุป ประเทศไทยก็น่าจะมีปัญหาภายในไม่หยุดหย่อน
ประเทศไทยขยับได้ช้าเพราะปัญหาภายในแท้ ๆ หลายครั้งในอดีตก็คล้ายนำไปสู่การแยกประเทศ ขณะที่เยอรมัน เวียตนามก็แยกประเทศแต่ได้กลับมารวมกันนานแล้ว
ครั้งนี้ เกาหลีก็กำลังค่อย ๆ เข้าสู่การรวมกัน แต่ไทยกลับไม่เห็นบทเรียนเหล่านี้
ความวุ่นวายทางการเมืองจะนำไปสู่ความแตกแยกภายในประเทศ แม้การแยกประเทศเป็น 2 ฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหา สุดท้ายความรัก ความสามัคคีของบุคคลในชาติกลับเป็นสิ่งนำพาประเทศไปสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเมืองมากกว่า
การประชุมสุดยอด 2 ผู้นำเกาหลีเป็นข่าวดีสำหรับชาวโลก การพบปะระหว่างนายโดนัลท์ ทรัมป์ กับนายคิม จอง อึม ที่จะมีในเดือนพฤษภาคมก็น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับชาวโลก
เรื่องราวเหล่านี้ หากสะท้อนเข้ามาในหมู่ผู้นำประเทศ นักการเมือง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของไทย ส่วนประเทศไทยจะได้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด มันก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภายในประเทศของคนไทยด้วยกันเอง
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
The Logistics
เส้นทางขนส่งสินค้าทางรถไฟเวียดนาม – จีน
กระทรวงคมนาคมเวียดนาม (The Ministry of Transport) เผยว่า เวียดนามและจีนกำลังวางแผนให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างกรุงฮานอย (Hanoi) ของเวียดนามและเมืองฉงชิง (Chongqing) ของจีน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานาย Nguyen Van Cong รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเวียดนาม และนาย Liu Guiping รองนายกเทศมนตรีเมืองฉงชิงได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อการขนส่งระหว่างเวียดนามและจีน นาย Liu กล่าวว่า เมืองฉงชิงมีสิ่งอำนวยความสะดวก ทางด่วน ทางรถไฟ ทางอากาศ และทางน้ำ อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทางน้ำสามารถเชื่อมต่อกับท่าเรือในเมืองไฮฟอง (Haiphong) และนครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) ของเวียดนามได้
ในปี 2017 มีสินค้าที่ส่งจากเมืองฉงชิงมายังเวียดนาม ผ่านการขนส่งทางบกปริมาณมากกว่า 2,600 ตัน มีมูลค่ามากกว่า 52.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่การขนส่งสินค้าทางรถไฟยังมีสัดส่วนน้อยมาก เนื่องจากรถไฟขนส่งสินค้าสายฉงชิง – ฮานอยต้องใช้ระยะเวลากว่า 69 ชั่วโมงในการขนส่งสินค้าและอีก 30 ชั่วโมงสำหรับพิธีทางศุลกากร นาย Liu เชื่อว่า บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟมีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากรถไฟสามารถบรรทุกสินค้าได้เป็นจำนวนมาก และได้เสนอให้กระทรวงคมนาคมเวียดนามประสานงานกับรัฐบาลของเมืองฉงชิง เพิ่มให้บริการทางรถไฟเชื่อมต่อเส้นทางฉงชิง – ผิงเสียง (Pingxiang) ของจีนกับเส้นทางด่งดัง (Dong Dang) – ฮานอยของเวียดนาม ซึ่งเส้นทางรถไฟดังกล่าวจะเชื่อมต่อกับเส้นทางฉงชิง – ยุโรปกลาง (Central Europe) ด้วย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเวียดนาม กล่าวว่าทางกระทรวงฯ มีแผนที่จะสร้างทางด่วนระยะทาง 140 กิโลเมตร เชื่อมต่อระหว่างด่านชายแดนจ่าหลินห์ (Tra Linh) ในจังหวัดกาวบั่ง (Cao Bang) และจังหวัดท้ายเวียน (Thai Nguyen) ที่จะเชื่อมต่อกับทางด่วนสายท้ายเวียน – ฮานอย เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างกรุงฮานอยและเมืองฉงชิง ทั้งนี้ กระทรวงฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะปรับปรุงการเชื่อมต่อทางรถไฟ เนื่องจากจำนวนสินค้าที่ส่งออกและนำเข้าจากจีนยังเติบโตไม่มากนัก ในปี 2017 การขนส่งสินค้าจากจีนมายังเวียดนามมีปริมาณ 453,500 ตัน และจากเวียดนามไปยังจีนจำนวน 387,600 ตัน อีกทั้งยังมีการขนส่งผ่านประเทศจีนเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่ 3 จำนวน 825 ตัน นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้มีการระดมทรัพยากรในการสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า โดยจีนและเวียดนามตกลงที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งเสริมการเชื่อมต่อ จัดงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้าร่วมกัน
นาย Cong เน้นย้ำว่า กระทรวงฯ พร้อมที่จะร่วมมือกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเวียดนาม เพื่อลดขั้นตอนของศุลกากรและการเชื่อมต่อการขนส่งโลจิสติกส์และบริษัทที่ทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าจากจีนและเวียดนาม และส่งเสริมความร่วมมือในภาคการขนส่งทางรถไฟ
การที่เวียดนามและจีนวางแผนที่จะเปิดเส้นทางการขนส่งสินค้าทางรถไฟเพื่อเชื่อมต่อทางการค้า และลดความซับซ้อนของขั้นตอนทางศุลกากร ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะได้รับประโยชน์จากการขนส่งสินค้าผ่านเวียดนามไปยังจีน ซึ่งอาจจะเป็นทางเลือกที่จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้
ที่มา:
http://www.ditp.go.th/ditp_pdf.php?filename=contents_attach/225055/225055.pdf&title=225055