SNP NEWS

ฉบับที่ 547

Follow Us :     เพิ่มเพื่อน  

มุมมอง 2562

มุมมอง 2562
ประเทศไทยไบโพล่าร์ ???
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ออกช่วงปลายปี ให้คำนิยามตลาดรถยนต์ในปี 2562 ว่า “ตลาดไบโพล่าร์” ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าประเทศไทยในปี 2562 อาจมีภาวะไบโพล่าร์ตามไปด้วย ???

ไบโพล่าร์คือ อาการของอารมณ์ 2 ขั้ว เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ไม่มีความแน่นอน

ตลอดปี 2561 นักการเมือง นักบริหารทั้งภาครัฐและเอกชนต่างทะยอยกันรับคำพิพากษาให้ติดคุกหลายท่านท่ามกลางข่าวการเลือกตั้งที่มีสัญญาณชัดเจนขึ้น

การเลือกตั้งจะมีราวเดือน ก.พ. หรือ มี.ค. 2562 ซึ่งปีนี้ประเทศไทยก็กำลังจะก้าวขึ้นเป็นประธานอาเชียน หรือไม่แน่ว่าการเลือกตั้งอาจไม่มีตามคำวิจารย์ของบางท่านก็ได้

อาการคล้ายไบโพล่าร์ของประเทศไทยจึงเริ่มมีให้เห็น

ทันทีที่คณะ คสช. คลายอำนาจในปลายปี 2561 การเมืองน้ำเน่าก็เข้ามาแทนที่ การสาดโคลน การบิดเบือนข้อเท็จจริง และการปล่อยข่าวปลอมก็คืบคลานเข้ามา

ประชาชนส่วนหนึ่งเริ่มเบื่อการเมืองน้ำเน่าแล้วอยากเปลี่ยนประเทศไทย

คณะ คสช. คาดหวังจะเปลี่ยนประเทศไทยด้วยแนวทางผ่านรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ผ่านโรดแมพ และผ่านการเลือกตั้งในปี 2562

นักบริหารและนักการเมืองหลายฝ่ายเริ่มคุยกัน การจะเปลี่ยนประเทศไทยต้องเปลี่ยนที่คน ไม่ว่ารัฐธรรมนูญดีหรือเลวอย่างไร ไม่ว่าการเลือกตั้งจะสกปรกมากเพียงใด หากคนไทยยังเหมือนเดิม ผลออกมาก็คงไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไร

ดูอัตราอุบัติเหตุช่วงวันหยุดปีใหม่ก็ได้ การตายก็เกิดขึ้นนับร้อยเหมือนเดิม

คนไทยเปลี่ยนยาก นักการเมืองน้ำเน่าเปลี่ยนยาก กีฬาสีที่แบ่งแยกคนก็เปลี่ยนยาก อย่างนี้ก็ต้องรอเพียงคนรุ่นใหม่ให้มีความคิดที่ดีและพร้อมใจกันมาเปลี่ยนประเทศไทยเท่านั้น

หากการเลือกตั้งครั้งนี้เปลี่ยนประเทศไทยไม่ได้ ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองก็คงวนเวียนกลับมาไม่ต่างจากอดีต

แต่วันนี้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ยังหมกหมุ่นอยู่แต่เรื่องส่วนตัว สังคมออนไลน์ และโซเซียลที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ส่วนการศึกษาไทยก็ยังย่ำอยู่กับที่มาหลายปี สุดท้าย การเปลี่ยนประเทศไทยก็ยังเป็นแค่แนวคิด

นี่คือประเทศไทยที่ส่ออาการคล้าย ๆ ไบโพล่าร์ตามตลาดรถยนต์ในปี 2562
การจะมองประเทศไทยเป็นไบโพล่าร์หรือไม่ และจะเดินไปทิศใดในปี 2562 จึงต้องดูปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศคู่กัน

“สหรัฐจะไม่ทำหน้าที่เป็นตำรวจโลกอีกต่อไป”

นี่คือคำกล่าวของผู้นำสหรัฐขณะเยือนฐานทัพในอิรักช่วงปลายปี 2561

เนื้อหาข่าวระบุว่า สหรัฐกำลังจะถอนทหารออกจากซีเรียเพื่อเอาใจตุรกี และตุรกีก็อาจใช้โอกาสนี้โจมตีตุรกีซีเรียและชาวเคิร์ดจนอาจกลายเป็นสงครามในปี 2562 ขึ้นมา

ขณะที่โลกด้านอื่นก็ผจญภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งจากคลื่นสึนามิในอินโดนีเซีย และอากาศแปรปรวนในญี่ปุ่น

ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านเริ่มชะลอตัว ยกเว้นจีน ข้อมูลเหล่านี้จึงไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์โลกสักเท่าไร

ส่วนข้อขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือเริ่มอ่อนลงตั้งแต่กลางปี 2561 รวมถึงสงครามการค้ากับจีนที่มีความรุนแรงและอ่อนลงคล้ายอาการไบโพล่าร์ แต่ก็ส่งผลดีต่อโลกและไทย

สำนักวิจัยทิสโก้ได้คาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจโลก (Global GDP Growth) ในอัตรา 3.7% ขณะที่การขยายตัวในสหรัฐคาดการณ์อยู่ที่ 2.5% ประเทศในยุโรปอยู่ที่ 1.9% และญี่ปุ่นอยู่ที่ 0.9% ส่วนจีนแม้จะลดลงแต่ก็อยู่ที่ 6.2% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นมาก

ผลการคาดการณ์นี้แสดงว่า ปี 2562 เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราไม่ดีนัก อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกที่ 3.7%  

ดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงถูกคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะดีกว่าและเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจโลกให้มาอยู่ที่ 3.7% ดังกล่าว  

นี่คือสถานการณ์ภาพรวมของโลก

ส่วนประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2561 เติบโตที่ 4.3% ส่วนภาพรวมทั้งปี 2561 ก็คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 4.2% (https://www.ryt9.com/s/nesd/2916928)

ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.5 – 4.5% ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โลกและปัจจัยภายในประเทศของไทยเอง

เมื่อพิจารณาปัจจัยภายนอกประเทศ การปลดล๊อกการเมือง และความพยายามเปลี่ยนประเทศไทยของคณะ คสช. ทำให้พอมองปี 2562 ได้ดังนี้

ประการที่ 1 การเลือกตั้ง

หากประเทศไทยมีการเลือกตั้งจริง อาการคุ้มดีคุ้มร้ายอาจกลับมาเข้า ความวุ่นวายจะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างแน่นอน เว้นแต่ คณะ คสช. จะคลุมสถานการณ์อยู่

แต่ผลของการเลือกตั้งนี่ซิกลับมหาศาล

การเลือกตั้งทำให้มีการใช้จ่ายเงินทั้งในและนอกระบบ เงินใช้จ่ายในระบบอาจไม่เท่าไร มีการรายงาน และมีการควบคุมที่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจพอประมาณ แต่การใช้จ่ายนอกระบบนี่ซิ ไม่มีใครรู้ว่า แต่ละพรรคการเมืองจะทุ่มเทกันเท่าไร

หากเป็นแบบอดีตที่เคยมีการพูด ๆ โดยไม่มีหลักฐาน ขอย้ำว่า ไม่มีหลักฐาน

การเลือก ส.ส. ให้ได้คนหนึ่งต้องใช้เงินราว 50 ล้านบาท ส.ส. ในระบบเขตที่ต้องได้ 350 คน ก็จะเป็นตัวเลขถึง 17,500 ล้านบาท เข้าไปแล้ว

หากรวมกับผู้สมัคร ส.ส. ที่เข้าแข่งขันทั่วประเทศ 350 เขต สมมติรวม 2,350 คน สมมติคนที่ไม่ถูกเลือก 2,000 คนต้องใช้เงินเฉลี่ย 20 ล้านบาท

เงินที่ใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นอีก 40,000 ล้านบาท

เมื่อรวมกับ ส.ส. ในระบบบัญชีอีก 150 คน ที่ต้องใช้จ่ายเพื่อให้ได้คะแนน ส่วนนี้ไม่รู้ใช้เงินอีกเท่าไร เมื่อเอามารวมทั้งหมด เงินที่เข้ากระแสเศรษฐกิจก็น่ามากกว่า 60,000 ล้านบาททีเดียว

สำนักเศรษฐกิจเคยเปิดเผยในอดีต การเลือกตั้งในบางปีมีเงินสะพัดเข้ากระแสเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

เงินมหาศาลเหล่านี้เป็นทั้งถูกและผิดกฎหมาย ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่หากทุ่มลงมาจริง คนรับมาก็ต้องใช้จ่ายออกไปหมุนเวียนในกระแสเศรษฐกิจ

มันย่อมไปกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2562 ให้เติบโตมากกว่าปกติอย่างแน่นอน

แต่ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ การประท้วง ความวุ่นวายย่อมตามมา ถึงตรงนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่า คณะ คสช. จะเอาอยู่หรือไม่จนอาจทำให้ประเทศไทยเป็นไบโพล่าร์ทันที

ประการที่ 2 การลงทุนจากเอกชน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เอกชนที่คุ้นเคยกับการรัฐประหารในไทยก็ยังมีการลงทุนพอควร อาจชะลอตัวบ้างแต่ไม่มาก ส่วนกลุ่มที่เชื่อใจรัฐบาลจากการเลือกตั้งมากกว่าก็จะกลับมาลงทุน

ทำไมหรือ ???

เอกชนกลุ่มนี้มองว่า รัฐบาลที่มาจากทหารสามารถออกกฎหมายอะไรก็ได้ที่นักลงทุนหวั่นเกรงว่าอาจจะกระทบต่อการลงทุนของเขา เขาจึงชะลอการลงทุน

มันต่างจากรัฐบาลที่มีสภามาจากการเลือกตั้ง กฎหมายแต่ละฉบับกว่าจะออกได้ต้องผ่านการอภิปรายถกเถียงข้อดีข้อเสียกันนาน

ดู ๆ อย่างนาฬิกาหรูที่ ปปช. ตีตกไปก็ได้ นักลงทุนและประชาชนมีความเชื่อไปคนละทางสองทาง แต่พอเรื่องถูกตีตก ไม่ถูกนำขึ้นสู่ศาล เสียงวิจารย์ท่ามกลางข่าวปล่อย ข่าวปลอมก็ดังขึ้นในโลกโซเซียลที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของ ปปช.

อีกเหตุผลหนึ่ง เอกชนยักษ์ใหญ่ที่ลงทุนมาก ๆ จะมีความเชื่อถือรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งมากกว่า หากจะเจรจา เอกชนยักษ์ใหญ่ก็มีพลังมากพอที่จะเจรจากับนักการเมืองง่ายกว่าทหาร

ดังนั้น การเลือกตั้งจะทำให้มีการลงทุนมากขึ้น การจ้างงาน การใช้จ่าย และเงินที่ใช้ในการลงทุนก็จะถูกโยนเข้าในกระแสเศรษฐกิจเข้าไปอีกอันเนื่องจากการลงทุนของเอกชน

แต่หากไม่มีการเลือกตั้ง การขาดความเชื่อมั่นของเอกชนกลุ่มนี้ก็จะยังอยู่ต่อไป

ประการที่ 3 การใช้จ่ายภาครัฐ

โครงการต่าง ๆ มากมายของรัฐที่เริ่มก่อตัวขึ้นก่อนปี 2561 เรื่อยมาจนถึงปี 2562 จะเริ่มมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการคนจนก่อให้เกิดการบริโภค การกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือ EEC ทางตะวันออกที่รัฐบาล คสช. ใช้เป็นตัวชูโรง

รัฐบาลเป็นเจ้ามือรายใหญ่ที่สุดของประเทศ เมื่อใดที่รัฐบาลใช้จ่ายออกไป เมื่อนั้นกระแสเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้นโดยตรงและส่งผลต่ออัตราการเติบโตตามการคาดการณ์ข้างต้น

แต่หากไม่มีการเลือกตั้ง แม้รัฐบาลจะใช้จ่ายออกไปอย่างมหาศาล สุดท้ายความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นก็จะเป็นตัวฉุดประเทศให้กลับมาอยู่ในอาการไบโพล่าร์ได้เอง

ทั้งหมดนี้คือมุมที่มองเห็นในปี 2562
หากประเทศไทยมีการเลือกตั้ง พ้นจากการเมืองน้ำเน่า และอาการไบโพล่าร์เป็นไปในทางคุ้มดีมากกว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยก็อาจจะอยู่สูงถึง 4.5 – 5.0% ได้

นี่คือมุมมองส่วนตัว ไม่ได้ผ่านการวิจัยจากสำนักใด ๆ  

แม้จะมีความวุ่นวายก็เชื่อว่า คณะ คสช. น่าจะควบคุมได้ การผลิต ธุรกิจ และ Logistics ของประเทศไทยก็คงเดินหน้าต่อไป เว้นแต่โลกจะมีสถานการณ์อื่นเข้ามาแทรกซ้อน

ปี 2562 แม้ประเทศไทยอาจมีอาการไบโพล่าร์ให้เห็นอยู่บ้าง ก็น่าเชื่อว่าอาการคุ้มดีน่าจะมากกว่าคุ้มร้ายและจะผ่านพ้นไปได้

ความรู้สึกค่อนข้างเบาใจและความสุขก็น่าเกิดขึ้น

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2562 นี้ พนักงาน SNP คณะผู้บริหาร และทีมงานผู้จัดทำข่าวสารทุกท่านจึงขอภาวนาให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติไปได้

ขอให้ท่านผู้อ่านและผู้ประกอบการทุกท่านที่ทำหน้าที่หน่วยรบแนวหน้า ผู้เป็นกำลังหลักของประเทศสามารถนำพาเศรษฐกิจของประเทศให้ได้ชัยชนะจากสงครามเศรษฐกิจทั่วโลก จงพบแต่ความสุข ความเจริญ กิจการรุ่งเรือง ก้าวหน้า และมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปด้วยเทอญ

สวัสดีปีใหม่ 2562
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

LOGISTICS

สนามบินนานาชาติ Van Don พร้อมเปิดให้บริการภายในเดือนธันวาคม 2561

คณะกรรมการตรวจสอบและรับรองของรัฐ เผยว่า สนามบินเอกชนแห่งแรกในประเทศเวียดนามได้ผ่านการรับรองมาตรฐานและพร้อมที่จะเปิดดำเนินการตามกำหนดในเดือนธันวาคม 2561
ภายหลังการตรวจสอบสนามบิน Van Don ในวันเสาร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกล่าวว่า การทำงานได้เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการออกแบบและมาตรฐานทางเทคนิค ซึ่งสามารถที่จะเปิดดำเนินการได้
นาย Le Quang Hung รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการก่อสร้างเวียดนามร้องขอให้ผู้พัฒนาโครงการก่อสร้างสนามบินดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปลายเดือนนี้
นาย Vu Van Dien รองประธานคณะกรรมการประชาชาจังหวัด Quang Ninh กล่าวว่า สนามบินนานาชาติ Van Don จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมในบริเวณภาคเหนือ และการพัฒนาในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นาย Dien ระบุว่า จังหวัด Quang Ninh กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนานโยบาย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังจังหวัดฯ โดยการเดินทางทางอากาศ รวมทั้งร่วมมือกับผู้พัฒนาท่าอากาศยานเพื่อส่งเสริมการบินเชื่อมต่อระหว่างจังหวัด
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการสายการบินภายในประเทศหลายรายกำลังวางแผนที่จะเปิดเที่ยวบินมายังสนามบินนานาชาติ Van Don
สายการบิน Vietnam Airlines จะเปิดเส้นทางบินประจำวัน เชื่อมต่อระหว่างนครโฮจิมินห์และจังหวัด Quang Ninh ในวันที่ 30 ธันวาคม นี้
สายการบิน Vietjet วางแผนที่จะเปิดเส้นทางการบินไปและกลับจากสนามบินนานาชาติ Van Don ในเดือนมกราคม 2562
สนามบินนานาชาติ Van Don ได้เริ่มก่อสร้างเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2559 ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 7 พันล้านล้านด่อง ( 304.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถรับผู้โดยสารขาเข้าและขาออกได้ประมาณ 500,000 รายในปีแรกของการดำเนินงาน ทั้งนี้ สนามบิน Van Don ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับผู้โดยสาร 2.5 ล้านรายในระยะแรก และ 5 ล้านรายภายในปี 2573

ที่มา: http://www.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view.php?filename=contents_attach/428054/428054.pdf&title=428054&cate=577&d=0

CEO ARTICLE