CEO ARTICLE
ชู 3 นิ้ว
“เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ”
สัญลักษณ์ชู 3 นิ้วมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 – 1799 ที่ให้ความหมายข้างต้น (https://www.posttoday.com/politic/report/298157)
เสรีภาพ คือ บุคคลมีเสรีภาพด้านความคิด ความเชื่อ และการเมือง ฯลฯ
เสมอภาค คือ บุคคลมีความเท่าเทียมกันตามกฎหมายตามหลักความยุติธรรม ฯลฯ
ภราดรภาพ คือ บุคคลมีความเป็นพี่น้องกัน ไม่เน้นผิวพรรณ หรือเผ่าพันธุ์ ฯลฯ
ขณะที่หนังเรื่อง The Hunger Game นำการชู 3 นิ้วให้นักแสดงนำใช้ แต่สื่อความหมายว่า “ขอบคุณ สรรเสริญ และลาก่อน” (https://accesstrade.in.th)
ปัจจุบัน “เด็กดิจิทัล” และม็อบ “เยาวชนปลดแอก” ก็ใช้สัญลักษณ์ชู 3 นิ้วที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านเคยใช้มาก่อนเพื่อขับไล่ “รัฐบาลอนาล็อก” ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยสื่อความหมาย 3 ประการคือ
-
-
-
- ให้หยุดคุกคามประชาชน
- ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
- ให้มีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
-
-
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การชู 3 นิ้วได้ลุกลามไปถึงนักเรียนมัธยม ไม่มีใครตอบได้ว่า เยาวชนชู 3 นิ้วที่เข้าใจความหมายข้างต้นจะมีสักกี่คน แต่จากรายงานข่าวของสื่อต่าง ๆ พบว่าเยาวชนที่ชู 3 นิ้ว น้อยคนจริง ๆ ที่เข้าใจความหมาย
ส่วนใหญ่การชู 3 นิ้วของนักเรียนมัธยมก็เพื่อระบาย หรือเรียกร้องความต้องการของกลุ่มตน เช่น การไม่ใส่ชุดนักเรียน การไว้ผมยาว ห้ามให้เกรด 0 ห้ามลงโทษ และอื่น ๆ ควบคู่กับการขับไล่รัฐบาลที่ตนได้ข้อมูลมาว่า “เผด็จการ”
สิ่งนี้สื่อให้เห็นถึงสมอง ความแยบยล เล่ห์เหลี่ยม และความเหี้ยมเกรียมของผู้อยู่เบื้องหลังที่นำความต้องการส่วนตัวและความบริสุทธิ์ของนักเรียนมัธยมมาใช้ควบคู่กับการขับไล่รัฐบาลได้
แต่หากผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารโรงเรียน หรือผู้ปกครองพิจารณาข้อเรียกร้องด้วยสติ แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าก็จะพบความใสซื่อและความบริสุุทธ์อย่างมากของเยาวชนเหล่านี้
แม้ข้อเรียกร้องส่วนตนจะดูขาดหลักการ และเหตุผลไปบ้าง แต่ก็พอสัมผัสถึงความกดดันที่เยาวชนได้รับ มันอาจเกิดจากการขาดความอบอุ่นในครอบครัว การขาดการแสดงออก หรือเป็นไปตามสภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ประเทศไทยมีมาตั้งแต่ก่อนปี 2475 ก็ได้
ขณะที่ครูบางท่านให้การสนับสนุนการชู 3 นิ้ว บางท่านก็คัดค้าน ส่วนผู้ปกครองก็มีทั้งสนับสนุนและคัดค้าน แต่บางท่านก็โกรธครูที่มีความเห็นไม่สอดคล้องกับผู้ปกครอง
การให้อิสระในการพูด การเปิดพื้นที่ให้แสดงออกภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย และการขอให้โรงเรียน ผู้ปกครอง และหน่วยงานของรัฐรับฟังเยาวชนซึ่งกระทรวงศึกษามีคำสั่งออกมาจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
รัฐบาลและผู้บริหารโรงเรียนจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อเยาวชนเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด เขาคือพลังบริสุทธิ์ แม้ข้อเรียกร้องส่วนตัวบางเรื่องอาจเกินเลยกฎโรงเรียนและระเบียบสังคมไปบ้างก็ตาม
ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยเกิดขึ้นมานานและเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการปฏิวัติปี 2475
ฐานะที่แตกต่างกันมาก ระดับความรู้ ความเข้าใจ และการศึกษามีส่วนทำให้ความเหลื่อมล้ำมีระดับขึ้น ๆ ลง ๆ ตามไปด้วย
ภายหลังปฏิวัติ 2475 ทหารและนักการเมืองต่างหมุนเวียนเข้ามาบริหารประเทศ ร่วมกันได้บ้าง แบ่งปันกันบ้าง แก่งแย่งกันเองบ้าง ทหารเข้ามาโดยการรัฐประหารมากกว่าการเลือกตั้ง
ส่วนนักการเมืองนิยมการสร้างนโยบาย การอภิปราย การจูงใจ และการเลือกตั้งมากกว่า
แต่ทั้งทหารและนักการเมืองในอดีตต่างก็ถูกกล่าวหาเรื่อง “การทุจริต” และใช้ “การทุจริต” สาดโคลนเข้าใส่กัน จริงบ้าง เท็จบ้างจนกว่าศาลท่านจะตัดสินซึ่งมักใช้เวลานาน
การหมุนเวียนเข้ามาบริหารประเทศของทหารและนักการเมือง โดยการรัฐประหารและการเลือกตั้งถูกเรียกว่าเป็นวงจรอุบาทว์เกือบ 100 ปี โดยความเหลื่อมล้ำไม่ได้ลดลงจากสังคมนัก
ตรงกันข้าม การแก่งแย่งอำนาจโดยมีประชาชนถูกมอมเมาด้วยนโยบายขายฝัน ด้วยการจูงใจ หรือชักนำให้เป็นฐานเสียงของทั้ง 2 ฝ่ายกลับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น
ทหารและนักการเมืองไม่ใช่ว่าจะไม่ดีทุกคน ทหารและนักการเมืองที่ดีก็มีมาก แต่ไม่ว่าจะมีมากเท่าไร สุดท้ายความเหลื่อมล้ำก็ยังมีมากและลุกลามถึงเยาวชนในวันนี้
ตัวอย่างความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เช่น คดีของนายบอสกระทิงแดงยังไม่ถูกนำขึ้นสู่ศาลเป็นเวลา 8 ปี แต่คดีแกนนำม็อบเยาวชนถูกตามจับตามหมายศาลในเวลารวดเร็ว หรือการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำที่เป็นข่าว ท่ามกลางการเห็นด้วยและการคัดค้านของประชาชน เป็นต้น
คำว่า “เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ” จึงคล้าย ๆ จะยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย
โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ความคิดเห็นของเยาวชนก้าวไกลมาก หากตัดประเด็นข้อเรียกร้องส่วนตัวออกไปจะพบว่า ข้อเรียกร้องหลายข้อเกิดจากความเหลื่อมล้ำจนกลายเป็นความกดดัน
แม้รัฐบาลจะรู้ว่ามีต่างชาติและกลุ่มผู้ต้องการอำนาจอยู่เบื้องหลัง แต่รัฐบาลจะอ้างความชอบธรรมทางกฎหมายเข้าปราบก็ไม่ได้ ความบริสุทธิ์ของเยาวชนจะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตมากขึ้น
สิ่งที่รัฐบาลน่าจะทำได้ดีที่สุดนอกจากการเปิดพื้นที่ให้แล้ว การสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นด้วยผลงานทั้งด้านการปราบปรามการทุจริต การลงโทษด้วยความรวดเร็ว การแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองเพื่อลดความเหลื่อมล้ำจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
หากรัฐบาลทำได้อย่างเป็นรูปธรรม พลังของฝ่ายต่าง ๆ ก็จะขาดความชอบธรรมไปเอง
ไม่มีใครตอบได้ว่าม็อบเยาวชนจะก้าวไกลไปถึงจุดใด และความเหี้ยมโหดของผู้อยู่เบื้องหลังจะทะลุไปถึงมิติใด แต่หากรัฐบาลไม่มีผลงานให้เกิดความเชื่อมั่น พลังบริสุทธิ์นี่แหละจะใหญ่โตขึ้นพร้อม ๆ กับเล่ห์เหลี่ยมของผู้อยู่เบื้องหลังจนนำไปสู่การล้มรัฐบาลอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ใครจะไปเชื่อ การชู 3 นิ้วของเยาวชนที่บริสุทธิ์อาจลุกลามไปช่วยผู้อยู่เบื้องหลังล้มรัฐบาลได้จริง ๆ ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวรัฐบาลเอง ไม่ได้อยู่ที่นิ้วทั้ง 3 ที่ชูขึ้นมา
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
CEO – SNP Group
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/
Logistics
ส่องสวนทุเรียน ในมณฑลไห่หนาน
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!