CEO ARTICLE
สิ้นข้อสงสัย
ในการพิจารณาวาระ 8 ปี พล.อ. ประยุทธ์ฯ ทำไมศาลรัฐธรรมนูญจึงเรียกพยานหลักฐานและคำชี้แจงเพิ่ม แต่คดีหวย 30 ล้านของครูปรีชาฯ ศาลอาญากลับไม่เรียกเพิ่ม … ทำไม ?
การขอพยานหลักฐานเพิ่มของศาลรัฐธรรมนูญให้ประโยชน์ฝ่ายหนึ่ง ให้โทษฝ่ายหนึ่ง บางคนอาจมองว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่เป็นกลาง และต้องการช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้
ข้อสงสัยเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่จากคนที่รู้และเข้าใจระบบศาล แต่ที่น่าตกใจคือ คนที่รู้และเข้าใจระบบศาลกลับใส่ชุดความคิดนี้ให้กับประชาชนที่ไม่เข้าใจระบบศาล จนเกิดความเชื่อที่ผิด ๆ ท่ามกลางสังคมที่แตกแยก และกระทบต่อประชาชนที่ต้องการความสงบสุข
ในความเป็นจริง ศาลอาญาและศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบการพิจารณาต่างกัน
ศาลอาญาใช้ ‘ระบบกล่าวหา’ (Adversarial System) มีผู้กล่าวหาเรียกว่า ‘โจทย์’ และมีผู้ถูกกล่าวหาเรียกว่า ‘จำเลย’ มีการลงโทษ 5 ประการคือ (1) ริบทรัพย์สิน (2) ปรับ (3) กักขัง (4) จำคุก และหนักสุด (5) ประหารชีวิต
ในเมื่อการลงโทษเกี่ยวพันถึงชีวิต อิสระภาพ และทรัพย์สิน ศาลจึงต้องนิ่ง วางตัวให้เป็นกลาง รับฟังเฉพาะพยานหลักฐานที่ทนายโจทย์และจำเลยนำสืบเพื่อให้ศาลเชื่อหรือไม่เชื่อว่าจำเลยทำผิดจริง มีคำตัดสินไปตามพยานหลักฐานนั้นด้วยหลักการ เหตุผล และข้อกฎหมาย
แต่หากโจย์หรือจำเลยไม่ยอมรับ อยากสู้ต่อก็สามารถยื่น ‘อุทธรณ์’ และ ‘ฎีกา’ ได้
ประเทศไทยใช้ ‘ระบบกล่าวหา’ แบบเดียวมานานกับทุก ๆ คดี เช่น คดีอาญา คดีแพ่ง ข้อพิพาทที่เอกชนมีต่อรัฐ และข้อพิพาทมหาชน มีการแยกอำนาจการสอบสวนไปที่ตำรวจและอัยการ ทำให้ศาลอยู่ใน ‘เชิงรับ’ มีส่วนทำให้คดียืดเยื้อ และเสียหาย เช่น คดีบอส กระทิงแดง เป็นต้น
กระทั่งปี พ.ศ. 2550 ประเทศไทยก็นำ ‘ระบบไต่สวน’ (Inquisitorial System) มาใช้ร่วมกับ ‘ระบบกล่าวหา’ เรียกว่าใช้ ‘ระบบศาลคู่’ (Dual Court System) โดยใช้กับข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับรัฐ ข้อพิพาทมหาชน และการตีกฎหมายรัฐธรรมนูญ เช่น วาระนายกฯ 8 ปี ในครั้งนี้
นักการเมือง นักกฎหมาย และประชาชนอาจตีความในกฎหมายรัฐธรรมนูญต่างกันได้ถือเป็นเรื่องปกติ และเมื่อตีความต่างกัน หรือมีข้อสงสัยก็สามารถร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ไต่สวน
ใน ‘ระบบไต่สวน’ ให้อำนาจศาลฯ สามารถแสวงหาข้อเท็จจริง เรียกพยานหลักฐานเพิ่มให้ ‘สิ้นข้อสงสัย’ ทำให้ศาลอยู่ใน ‘เชิงรุก’ มากกว่าระบบกล่าวหา
เพียงการตีความผิด ผู้ร้องจึง ‘ไม่ใช่โจทย์’ และผู้ถูกร้องก็ ‘ไม่ใช่จำเลย’ เหมือนในคดีอาญาหรือคดีแพ่ง แต่เป็นเพียง ‘ผู้ร้อง’ และ ‘ผู้ถูกร้อง’ ที่อาจตีความกฎหมายถูกหรือผิดก็ได้เท่ากัน
หากตีความกฎหมายผิดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรต่อก็ไม่มีความผิด แต่หากตีความผิดแล้วยังนำสิ่งผิดไปปฏิบัติ เช่น วาระ 8 ปี ครบหรือไม่ครบก็ยังไม่รู้ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ต่อ ไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ลักษณะนี้ก็จะเป็นความผิดทางอาญาที่ต้องไปพิจารณาลงโทษในศาลอาญาต่อ
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์คณะเรียกว่า ‘ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ’ เป็นศาลสูงสุด ใช้การลงมติ ถูกหรือผิดในศาลเดียว ไม่มีอุทธรณ์ ไม่มีฎีกา องค์คณะแต่ละท่านสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงได้เท่าที่ต้องการ คำตัดสินก็ถือว่าถึงที่สุด และมีผลผูกพันทุกองค์กร
เมื่อทุกท่าน ‘สิ้นข้อสงสัย’ ก็นัดวันแถลงและลงมติด้วยเสียงข้างมากเพื่อยุติข้อพิพาท
นอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ระบบไต่ส่วนแล้ว ศาลปกครอง และศาลอาญาคดีทุจริตฯ ก็ยังใช้ระบบไต่ส่วนเช่นกัน (Thai PBS https://theactive.net/)
ข้อพิพาทวาระ 8 ปี และคดีหวย 30 ล้านจึงมีลักษณะต่างกัน และใช้ระบบศาลต่างกัน
กรณีผู้รู้กฎหมาย และเข้าใจระบบศาล แต่ยังสร้างข้อสงสัยให้เป็นชุดความคิดผิด ๆ ในหมู่ประชาชนจึงเป็นอันตรายต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง
นักการเมืองเป็นผู้ที่ประชาชนเลือกมาจึงควรนำประชาชนไปในทางที่ดี สร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ควรตอกย้ำความเชื่อผิด ๆ ให้กับประชาชนจนเกิดความไม่สงบสุข
แต่บังเอิญข้อพิพาทวาระ 8 ปีเป็นคดีการเมือง มีนักการเมืองที่มีส่วนได้และส่วนเสียในคำตัดสิน การนำความจริงบางส่วนมาบิดเบือนจึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ
การลงมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีเร็ว ๆ นี้ ประชาชนจึงควรฟังหลักการ เหตุผล และข้อกฎหมายที่ศาลฯ จะใช้ประกอบการพิจารณาให้ ‘สิ้นข้อสงสัย’ ด้วยตนเองก่อน
หลักการ เหตุผล และข้อกฎหมายเท่านั้นที่จะอธิบายให้ ‘สิ้นข้อสงสัย’ ได้ แต่หากข้อสงสัยยังไม่สิ้น ประชาชนก็ควรรอ ควรรับฟังข้อมูลทุกด้านโดยไม่คล้อยตามผู้มีส่วนได้ส่วนเสียง่าย ๆ
ประชาชนคือรากฐาน แต่ขณะเดียวกันประชาชนก็อาจเป็นเครื่องมือชั้นดีได้เช่นกัน
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
SNP Group
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/
Date Published : September 20, 2022
Logistics
Migros เปิดตัวสินค้าใหม่ ลูกบอลกาแฟ และเครื่องชงกาแฟแคปซูล
“Migros” บริษัทขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ คือ ลูกบอลกาแฟแคปซูลที่ปราศจากแคปซูลออกสู่ท้องตลาด
เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท Migros ได้เปิดเผยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ Coffee B โดยผลิตภัณฑ์กาแฟแคปซูล Coffee B นี้ถูกออกแบบมาให้ปราศจากแคปซูลบรรจุภัณฑ์ที่มาจากพลาสติก หรืออลูมิเนียม
ลูกบอลกาแฟเกิดจากการอัดผงกาแฟจนแน่นและแข็ง พื้นผิวภายนอกลูกบอลถูกห่อหุ้มด้วยชั้นโปร่งใสซึ่งสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ แตกต่างจากกาแฟแคปซูลปกติที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติก หรืออลูมิเนียม
นาย Fabrice Zumbrunnen ผู้บริหารบริษัท Migros กล่าวว่า พวกเขาใช้เวลาถึงห้าปีในการคิดค้น ลูกบอลกาแฟ และนวัตกรรมกาแฟแคปซูล ที่ปราศจากแคปซูล ในระยะเวลาห้าปีพวกเขาพบข้อผิดพลาดและความล้มเหลวบ่อยครั้ง กว่าที่จะได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในวันนี้ และสัญญาว่านวัตกรรมนี้ จะเปลี่ยนแปลงวงการอุตสาหกรรมกาแฟอย่างแน่นอน พร้อมกันนั้นยังกล่าวว่า พร้อมแล้วที่จะต่อสู้กับคู่แข่งกาแฟแคปซูลอย่าง Nespresso
ชั้นโปร่งใสที่ห่อหุ้มลูกบอลกาแฟ ถูกคิดค้นโดยบริษัท Delica ซึ่งเป็นบริษัทในเครื่อของ Migros ชั้นโปร่งใสนี้ไม่เพียงแต่ห่อหุ้มลูกบอลกาแฟ แต่ยังเป็นตัวกั้นก๊าซออกซิเจนเอาไว้ เพื่อช่วยรักษารสชาติและกลิ่นของกาแฟไม่ให้สูญหายไป ชั้นโปร่งใสนี้สามารถย่อยสลายได้เช่นเดียวกับผงกาแฟ ทั้งนี้ลูกบอลกาแฟของ Migros สามารถย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
บริษัท Migros กล่าวว่า การละเว้นการใช้แคปซูลกาแฟที่ทำมาจากอลูมิเนี่ยม หรือพลาสติก สามารถหลีกเลี่ยงขยะจำนวนมหาศาลได้ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าในหนึ่งปี ทั่วโลกมีการผลิตขยะจากแคปซูลกาแฟประมาณ 100,000 ตัน และถึงแม้บางส่วนของแคปซูลกาแฟเหล่านั้นจะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังต้องทิ้งเป็นขยะอยู่ดี
นอกจากลูกบอลกาแฟแล้ว Migros ยังเปิดตัวเครื่องชงกาแฟแคปซูล โดยเครื่องชงกาแฟนี้ทำมาจากวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ Coffee B เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และจะไม่ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเพิ่มเติม
เมล็ดกาแฟที่นำมาทำเป็นลูกบอลกาแฟ ถูกนำมาจากแหล่งเพาะปลูกแบบยั่งยืน กาแฟแต่ละชนิดต่างได้รับการรับรองมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการรับรองว่าเป็นออร์แกนิค การรับรองจาก Fairtrade หรือการรับรองจาก Rainforest Alliance การได้รับซึ่งตราสัญลักษณ์ Rainforest Alliance หมายความว่า ผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมที่ผ่านการรับรองนั้น ผลิตขึ้นโดยใช้วิธีการที่สนับสนุนหลักความยั่งยืนสามประการ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
กาแฟลูกบอลผลิตออกมาทั้งหมด 8 ชนิด โดยหนึ่งกล่องมีลูกบอลกาแฟ 9 ลูก ราคากล่องละ 4,60 ฟรังก์สวิส สำหรับกาแฟออร์แกนิค ราคากล่องละ 4,95 ฟรังก์สวิส ส่วนเครื่องชงกาแฟแคปซูลนั้นมีให้เลือกสองสี คือ สีดำ กับสีขาว ราคาเครื่องละ 169 ฟรังก์สวิส ผลิตภัณฑ์ Coffee B ถูกวางขายแล้วในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศฝรั่งเศส และในปี 2566 จะถูกวางขายในประเทศเยอรมนี และประเทศอื่นๆต่อไป
ที่มา : https://www.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view.php?filename=contents_attach/793561/793561.pdf&title=793561&cate=413&d=0
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!