CEO ARTICLE
คุกคามทางเพศ
การขับนักการเมืองที่คุกคามทางเพศออกจากพรรคเพียงพอแล้วหรือไม่ ?
การคุกคามทางเพศ หรือศัพท์วิชาการเรียกว่า Sexual Harassment หมายถึง พฤติกรรมที่มีเจตนาไม่ดีต่อเพศตรงข้ามไม่ว่าจะเกิดแก่เพศหญิงหรือชาย
การพิจารณาจึงเป็นเรื่องของ “พฤติกรรม” และ “เจตนา”
“พฤติกรรม” เกิดที่ภายนอก มองเห็น แต่ “เจตนา” เกิดภายใน มองไม่เห็น ดูยาก ผู้คุกคามส่วนใหญ่จะปิดบังเจตนาไว้ และมักจบลงด้วยคำว่า “ไม่ได้คิดอะไร” หรือ “หมาหยอกไก่”
แต่ทางกฎหมาย “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” และการคุมคามทางเพศก็ถือเป็นความผิดทางอาญา มาตรา 397 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท และมาตรา 278 ในฐานทำให้อับอายมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
แต่กฎหมายไม่ได้ระบุลักษณะการคุมคามและระดับความรุนแรงให้ชัดเจน การพิจารณาความผิดจึงวนกลับมามองที่ “พฤติกรรม” เพื่อมุ่งไปที่ “เจตนา”
เว็บไซต์ รพ. เพชรเวช ให้รายละเอียด 4 พฤติกรรมเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ดังนี้
1. การแสดงออกทางวาจา (Verbal Conduct)
เช่น พูดจาล่วงเกิน พูดเกี่ยวกับเรื่องเพศ เล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับเรื่องเพศ พูดถึงสัดส่วนของร่างกาย หรือพูดเล่นคำที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ เป็นต้น
2. การแสดงออกทางกิริยา (Visual Conduct)
เช่น ท่าทาง กิริยา การแทะโลมทางสายตา การจ้องมองส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นต้น
3. การสัมผัสทางร่างกาย (Physical Conduct)
เช่น พยายามใกล้ชิดโดยไม่จำเป็น แตะเนื้อต้องตัว โอบกอด โอบไหล่ เป็นต้น
4. การส่งข้อความในเชิงอนาจาร (Written Conduct)
เช่น การเขียนจดหมาย หรือพิมพ์ข้อความในเชิงส่อไปทางเพศ รวมไปถึงการส่งรูปภาพร่างกาย หรืออวัยวะเพศให้แก่ผู้อื่น เป็นต้น
พฤติกรรมทั้ง 4 ลักษณะดูออกง่าย แต่หากจะพิสูจน์เจตนาก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาล
ศาลต้องมีกระบวนการ ผู้คุกคามถือว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน ต้องแจ้งความ ขึ้นให้การ และพิสูจน์ให้เป็นที่อับอายจนผู้เสียหายไม่อยากเป็นคดีความ การแจ้งความจึงน้อยจนพฤติกรรมเกิดมากขึ้น
แต่หากผู้คุกคามเป็นนักการเมืองที่เป็นผู้นำทางจริยธรรม กระแสสังคมจะต่อต้านทันที
เหตุผลง่าย ๆ นักการเมืองมีอำนาจสามารถสร้างแรงกดดันต่อผู้เสียหายได้ ให้คุณ ให้โทษต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประสิทธิภาพของการตั้งข้อกล่าวหาและการลงโทษนักการเมืองจะลดลง
ประชาชนเลือกนักการเมืองให้มาเป็นผู้นำ ให้มาสร้างชีวิตความเป็นอยู่ให้มีมาตรฐานสูงขึ้น นักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งจึงถูกคาดหวังให้มี “จริยธรรม” สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด
พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค นักการเมืองจึงเกิดได้และอยู่ได้เพราะพรรคการเมือง
พรรคจึงต้องกลั่นกรองผู้สมัครที่มีจริยธรรมแม้บางรายไร้ชื่อเสียง ไร้ผลงาน แต่ในการเลือกตั้งทุกครั้ง หากประชาชนสนับสนุนพรรคก็จะเชื่อว่า ผู้สมัครนั้นมีจริยธรรมสูงพอที่จะเป็นผู้นำ
พรรคจึงเป็นตัวกลางเชื่อมประชาชนและนักการเมืองให้รู้จักกัน และให้มีศรัทธาต่อกัน
ดังนั้น เมื่อใดที่นักการเมืองมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศไม่ว่าลักษณะใด หรือระดับใด เมื่อนั้นความรู้สึกของประชาชนจะถูกกระทบมาก และจะเสียศรัทธาต่อพรรคการเมืองนั้นมาก
พรรคจึงต้องขับนักการเมืองที่คุกคามทางเพศให้ออกจากพรรคเพื่อรักษาฐานเสียง
แต่พรรคต้องไม่ลืมว่า พรรคเป็นผู้สร้างศรัทธาลวงให้เกิดขึ้นก่อน พรรคทำให้นักการเมืองผู้นั้นเกิดในทางการเมือง และในทางอ้อมก็กำลังส่งนักการเมืองนั้นไปสังกัดพรรคอื่น ให้เป็นต้นแบบจริยธรรมที่ต่ำลง และทำให้สถาบันการเมืองในภาพรวมที่ควรสูงขึ้นเรื่อย ๆ กลับตกต่ำลง
พรรคเป็นผู้สร้างศรัทธาลวง การขับออกจากพรรคอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ต้องทำลายศรัทธาลวงนั้นให้สิ้นซากโดยพรรคต้องทำเพิ่ม ดังนี้
1. ทำทุกวิธีทางเพื่อมิให้นักการเมืองนั้นย้ายพรรคได้ เช่น การทำหนังสือถึงทุกพรรคการเมืองเพื่อขอความร่วมมือไม่ให้รับนักการเมืองที่ถูกขับ และทำให้รู้ว่า การรับนักการเมืองคุกคามทางเพศเป็นการส่งเสริมศรัทธาลวง และทำลายมาตรฐานชีวิตที่ควรสูงขึ้นของประชาชนให้ต่ำลง
2. ช่วยเหลือผู้เสียหาย เช่น การส่งทนายความช่วยผู้เสียหาย ฟ้องร้อง และทำให้นักการเมืองนั้นได้รับการลงโทษทางกฎหมายเพื่อให้การเมืองสูงขึ้น และลดการเป็นต้นแบบที่ไม่ดีต่อสังคม
ประชาชนจะให้รางวัล หรือลงโทษพรรคการเมืองได้เฉพาะการเลือกตั้งเท่านั้น
หากประชาชนเลือกพรรคที่รับนักการเมืองคุกคามทางเพศให้ย้ายพรรค สถาบันการเมืองย่อมมีแนวโน้มต่ำลง มาตรฐานชีวิตที่คิดว่าจะสูงขึ้นในอนาคตก็ย่อมมีแนวโน้มต่ำลงไปด้วย
ประชาชนเลือกอย่างไรก็ได้นักการเมืองอย่างนั้น มาตรฐานชีวิตและความเป็นอยู่ก็หนีไม่พ้นอย่างนั้น อนาคตของประชาชนเองก็เป็นอย่างนั้นไปด้วย.
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
👉 Home and Health … https://www.inno-home.com
👉 Art and Design …… https://www.cose.life
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/
Date Published : December 4, 2023
Logistics
ลุยแล้ว… ด่านโหย่วอี้กวานเริ่มก่อสร้าง “ด่านอัจฉริยะ” ดันศักยภาพรองรับรถสินค้าผ่านด่านเพิ่มเป็นเท่าตัว
ตามที่ก่อนหน้านี้ บีไอซี ได้เคยนำเสนอข่าวเกี่ยวกับแนวคิดการพัฒนาโครงการยกระดับด่านโหย่วอี้กวานสู่ “ความเป็นอัจฉริยะ” หรือ Smart Border Gate โดยเมื่อไม่นานมานี้ อำเภอระดับเมืองผิงเสียงของกว่างซีได้จัดพิธีเริ่มงานก่อสร้างด่านอัจฉริยะด่านโหย่วอี้กวาน-ด่าน Huu Nghi แล้ว โดยมีนาย Xu Yong Ke รองประธานเขตฯ กว่างซีจ้วง และนาย Duong Xuan Huyen รองประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัด Lang Son ร่วมเป็นสักขีพยาน
ด่านโหย่วอี้กวาน (Youyiguan Border Gate/友谊关口岸) เป็นด่านสากลทางบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีระบบสาธารณูปโภคครบครันที่สุด มีปริมาณการค้ามากที่สุดระหว่างจีน-เวียดนาม และเป็นด่านปลายทางของเส้นทาง R9 (มุกดาหาร) R12 (นครพนม) ซึ่งมีความสำคัญในการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนด้วย
ตามรายงาน โครงการยกระดับด่านสู่ “ความเป็นอัจฉริยะ” เป็นโครงการด่านระหว่างประเทศอัจฉริยะแห่งแรกของจีนกับเวียดนาม ซึ่งทางฝั่งด่านโหย่วอี้กวานของกว่างซีใช้เงินลงทุนราว 1,062 ล้านหยวน โดยมี “ช่องทางพิเศษเฉพาะรถบรรทุกสินค้าไร้คนขับ” เป็น Key project ซึ่งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่สมัยใหม่ ทำให้รถบรรทุกสินค้าสามารถผ่านด่านได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำการ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในสิ้นปี 2567 ซึ่งจะช่วยให้ศักยภาพการผ่านด่านของรถบรรทุกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เทคโนโลยีที่ทันสมัย ประกอบด้วยเครือข่ายสัญญาณ 5G ยานพาหนะขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ไร้คนขับ (AGV) อุปกรณ์เครนยกที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบตู้สินค้า ระบบดาวเทียมนำทางและระบุตำแหน่งเป๋ยโต่ว (The BeiDou Navigation Satellite System ในการติดตามและตรวจสอบรถบรรทุกไร้คนขับตลอดเส้นทาง (เส้นทางเดินรถเป็นระบบควบคุมวงปิด หรือ Close-loop Control) และแพลตฟอร์มควบคุมอัจฉิรยะในการแลกเปลี่ยนข้อมูลโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนระหว่างจีนกับเวียดนาม
ส่วนด่าน Huu Nghi ทางฝั่งเวียดนาม รายงานข่าวระบุว่า จังหวัด Lang Son ได้จัดตั้งคณะทำงานนำร่องการก่อสร้างท่าเรืออัจฉริยะ และกำลังเร่งขอรับความเห็นชอบจากรัฐบาลกลางเพื่อขยายช่องทางในเส้นทางขนส่งสินค้า (ปัจจุบัน มีลักษณะเป็นช่องเขาแคบ หรือถนนคอขวด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินรถเป็นอย่างมาก) เพื่อรองรับการพัฒนาด่าน Huu Nghi สู่ด่านอัจฉริยะด้วยแล้ว
นาย Zhou Mi (周密) รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอเมริกาและโอเชียเนีย สถาบันวิจัยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสมาชิกกลุ่มแกนนำพรรคฯ ประจำกรมพาณิชย์กว่างซี กล่าวว่า การพัฒนาด่านอัจฉริยะระหว่างจีน-เวียดนาม เป็นการแสวงหาความร่วมมือใหม่ระหว่างจีนและอาเซียนด้านเศรษฐกิจดิจิทัลเชิงลึก และเศรษฐกิจสีเขียว และจะช่วยปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากรระหว่างประเทศในภูมิภาค ช่วยส่งเสริมการพัฒนาเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เวอร์ชัน 3.0 และเป็นต้นแบบความสำเร็จในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างจีนกับชาติสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ด้วย
ที่มา: https://thaibizchina.com
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!