CEO ARTICLE

การค้าระหว่างประเทศ

Published on April 15, 2025


Follow Us :

    

ทำอย่างไรให้เข้าใจการค้าระหว่างประเทศอย่างง่าย ๆ

การค้าระหว่างประเทศ (International Trade) เป็นเรื่องของการส่งออกและการนำเข้า
ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวพันกับการทำตัวให้เป็นศูนย์กลางทางการค้า (Trade Center) การนำสินค้าจากประเทศที่ 1 ส่งออกไปขายยังอีกประเทศที่ 3 หากจะว่าเข้าใจยากก็ใช่
แต่หากจะทำให้เข้าใจง่ายก็แค่มองไปที่การค้าภายในประเทศเท่านั้น
เหตุผลง่าย ๆ เพราะการค้าทั้ง 2 แบบต่างก็มีปัจจัยพื้นฐานที่เหมือนกัน 5 ประการ หากรู้ เข้าใจ และจัดการปัจจัย 5 ประการของการค้าภายในประเทศได้ การค้าระหว่างประเทศก็ไม่ยาก
ปัจจัยที่เหมือนกัน 5 ประการของการค้าทั้ง 2 แบบประกอบด้วย
1. มีสินค้าเหมือนกัน
การค้าทุกแบบต้องมีสินค้าเหมือนกัน
คนที่สามารถหาสินค้าที่ตลาดต้องการได้ก็เริ่มการค้าได้ เริ่มส่งออก และเริ่มนำเข้าได้ การหาสินค้ามีหลายวิธี เช่น การพิจารณาความต้องการของมนุษย์ในสังคมที่แบ่งเป็น 5 ลำดับตามทฤษฏีมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ว่าต้องการสินค้าอะไร จากนั้นก็จัดหาสินค้านั้นมาขาย หรือจะพิจารณาจากพิกัดสินค้า (Tariff Code) ที่ศุลกากรโลกกำหนดขึ้นก็เป็นวิธีการหนึ่ง หรือจะใช้แนวคิดและทฤษฏีที่มีมากมายเพื่อเลือกสินค้าก็ได้
2. มีผู้ขายเหมือนกัน
ผู้ขาย หรือผู้จัดหา (Supplier) คือบุคคลที่จะช่วยให้ได้สินค้ามาขาย หากได้ผู้ขายดี โอกาสที่จะสินค้าดีเพื่อเริ่มต้นการค้า เริ่มการนำเข้า และเริ่มการส่งออกก็อยู่แค่เอื้อม
3. มีผู้ซื้อเหมือนกัน
ผู้ซื้อ หรือลูกค้า (Customer) คือบุคคลที่มีความสำคัญต่อการค้าทุกรูปแบบ
การตลาดที่มีกลยุทธ์ (Strategic Marketing) นอกจากจะทำให้ได้ลูกค้าที่ดีแล้ว ยังมีส่วนทำให้เกิดการบอกต่อ ทำให้ได้ลูกค้ามากขึ้น ได้ผู้ขายและผู้จัดหาที่ดีมากขึ้นอีกด้วย
4. มีการชำระเงินเหมือนกัน
การชำระเงิน (Payment) คือ กระบวนการส่งมอบเงินจากผู้ซื้อไปยังผู้ขาย
ผู้ซื้ออยากได้สินค้าก่อนการชำระเงิน หรือชำระเงินให้นานที่สุด ส่วนผู้ขายก็อยากได้รับเงินก่อนการส่งมอบสินค้า ต่างฝ่ายต่างต้องการไม่เหมือนกันจึงเกิดการชำระเงินผ่านธนาคารขึ้น
ผู้ที่รู้วิธีการชำระเงินที่ถูกต้องเป็นมาตรฐานสากลก็สามารถทำการค้าได้ไม่ยาก
5. มีการส่งมอบเหมือนกัน
การส่งมอบ (Delivery) คือ กระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ขายไปส่งมอบให้ผู้ซื้อ
การค้าภายในประเทศแบ่งสถานที่ส่งมอบสินค้า (Place of Delivery) เป็น 3 ลักษณะ คือ ส่งมอบ ณ สถานที่ผู้ขาย (Seller’s Place) ส่งมอบ ณ สถานที่ผู้ซื้อ (Buyer’s Place) และส่งมอบ ณ สถานที่เป็นกลาง (Neutral’s Place) เช่น ตามสถานีขนส่งต่าง ๆ ที่ผู้ขายและผู้ซื้อตกลงกัน
แต่การค้าระหว่างประเทศม่ีท้องทะเล มีท้องฟ้า และมีขอบแผ่นดินของประเทศผู้ขายและผู้ซื้อขวางกั้น สถานที่เป็นกลางจึงมี 2 ประเทศ และทำให้สถานที่ส่งมอบสินค้าแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ
5.1 ส่งมอบ ณ สถานที่ผู้ขาย เช่น หน้าโรงงานประเทศผู้ขาย
5.2 ส่งมอบ ณ ขอบแผ่นดินประเทศผู้ขาย เช่น ท่าขนส่งในประเทศผู้ขาย
5.3 ส่งมอบ ณ ขอบแผ่นดินประเทศผู้ซื้อ เช่น ท่าขนส่งในประเทศผู้ซื้อ
5.4 ส่งมอบ ณ สถานที่ผู้ซื้อ เช่น การส่งถึงมือผู้ซื้อ หรือ Door to Door

การค้าระหว่างประเทศแบ่งสถานที่ส่งมอบสินค้า 4 กลุ่ม แต่ยังมีศุลกากร (Customs) และวัฒนธรรม (Culture) ยืนเป็นเงาทะมึนขวางกั้นเป็น “2 C’s ผู้ยิ่งใหญ่” ที่ดูน่ากลัวจนทำให้ปัจจัย 5 ประการที่เหมือนกันกลับดูแตกต่างกันทันที
ส่วนจะต่างกันอย่างไร จะแก้ไข และป้องกันอย่างไรสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ “การค้าระหว่างประเทศ” (International Trade) ซึ่งมีขายที่ “ร้านซีเอ็ด” ทุกสาขา หรือสั่งซื้อจาก SHOPEE
BOOKZONE : https://s.shopee.co.th/VtAJRmzHU?share_channel_code=6
SE-ED : https://s.shopee.co.th/7fMKqouBCG?share_channel_code=6
BUNDANJAI : https://s.shopee.co.th/706e3cidsO?share_channel_code=6
หรือสั่งซื้อโดยตรงที่หมายเลข 086-325-3597 (ว่าน) 063-345-1788 (เบล) ในราคาสมาชิก
ผลกำไรมอบให้เด็กยากไร้ในชนบทเพื่อให้มีเงินติดตัวไปโรงเรียนทุกวันในโครงการ CSR

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

(พื้นที่โฆษณา)
โฉนดแลกเงินด่วน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.75% ต่อเดือน ถูกกฎหมาย
อนุมัติใน 3 วัน ทำสัญญาที่สำนักงานเขตที่ดิน ไม่เช็คบูโร
ติดต่อ https://inno-home.com/loan-lead/

อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ https://snp.co.th/e-journal/

Date Published : April 15, 2025

Logistics

ท่าทีสหภาพยุโรปภายหลังการประกาศใช้ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ

ภายหลังการประกาศใช้มาตรการ “Reciprocal Tariff” ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 นาง Ursula Von Der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกแถลงการณ์ทันทีเพื่อสะท้อนความเห็นและข้อห่วงกังวลของสหภาพยุโรปต่อการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าว โดยเห็นว่า Reciprocal Tariffs จะสร้างความเสียหายและความไม่แน่นอนให้กับระเบียบเศรษฐกิจของโลก และนำไปสู่การเพิ่มมาตรการปกป้องทางการค้า อัตราเงินเฟ้อ ตลอดจนส่งผลกระทบกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ทั้งนี้ สหภาพยุโรปพร้อมที่จะใช้มาตรการตอบโต้กับสหรัฐฯ โดยได้เตรียมมาตรการขึ้นภาษีกับเหล็กกล้านำเข้าจากสหรัฐฯ ไว้แล้วเป็นมาตรการแรก และอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการตอบโต้อื่นๆ เพิ่มเติมหากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ อย่างไรก็ดี สหภาพยุโรปพร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกร่วมกันโดยเร็ว โดยได้มอบหมายนาย Maroš Šefčovič คณะกรรมาธิการด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นผู้แทนหารือกับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปจะพิจารณามาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมของยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ ผ่านกลไกหารือ “Strategic Dialogues” กับภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของยุโรป อาทิ เหล็กและโลหะ รถยนต์ และยาและเวชภัณฑ์

นาย Bernd Lange ประธานคณะกรรมการด้านการค้าระหว่างประเทศของรัฐสภายุโรป (INTA) ออกแถลงการณ์แสดงความเห็นว่า การขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะก่อให้เกิดผลกระทบกับผู้บริโภคในอเมริกาและยุโรป รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก ทั้งนี้ เห็นว่าการเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้ากับสหภาพยุโรปในอัตราร้อยละ 20 ไม่เป็นธรรมและขัดกับหลักการของกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (Unjustified, illegal and disproportionate) ซึ่งจะส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพในการผลิตของอุตสาหกรรมทั่วโลก ทำลายบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนและตลาดทุน ดังนั้น สหภาพยุโรปจำเป็นจะต้องตอบโต้มาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ โดยจะใช้มาตรการที่ไม่ขัดต่อกฎหมายการค้าระหว่างประเทศและเป็นไปตามหลักการการได้สัดส่วน (proportionality) และตามขั้นตอนที่เป็นประชาธิปไตย ทั้งนี้ ประธาน INTA แสดงความไม่มั่นใจว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ สมัยที่ 2 จะสนใจหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันกับสหภาพยุโรปหรือไม่ อย่างไรก็ดี สหภาพยุโรปพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้มีการหารือ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดกับเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย

นาย Antonio Costa ประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป แสดงความเห็นว่า สหภาพยุโรปจะยังคงยืนยันหลักการการค้าระหว่างประเทศที่สนับสนุนการค้าเสรีและเป็นธรรม พร้อมย้ำความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะดำเนินการให้สัตยาบันความตกลงเขตการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศ MERCOSUR (ประกอบด้วย อาร์เจนตินา โบลิเวีย บราซิล ปารากวัย และอุรุกวัย) และเม็กซิโก รวมถึงเร่งเจรจากับอินเดีย และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้โดยเร็ว

นาย Micheál Martin นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ แสดงความเห็นว่า ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อพิจารณามาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อยู่บนหลักการการได้สัดส่วน และมุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการ แรงงาน และประชาชนของสหภาพยุโรปเป็นสำคัญ ในขณะที่นาย Giancarlo Giorgetti รัฐมนตรีเศรษฐกิจของอิตาลี ขอให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะตอบโต้การขึ้นอัตราภาษีของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดที่นำไปสู่สงครามการค้าระหว่างกันในอนาคต สอดคล้องกับนาย Carlos Cuerpo รัฐมนตรีเศรษฐกิจสเปน ที่เรียกร้องให้สหภาพยุโรปเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ให้ได้ข้อสรุปร่วมกันโดยเร็ว

นาย Ignacio Garcia Bercero นักวิชาการสถาบัน Bruegel อดีตหัวหน้าคณะเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป-สหรัฐฯ เสนอให้สหภาพยุโรปจะต้องพิจารณามาตรการตอบโต้ที่เจาะจงไปยังสินค้าที่จะสร้างผลกระทบ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการเมืองในสหรัฐฯ ให้มากที่สุด ซึ่งอาจรวมถึงการพิจารณามาตรการจำกัด การเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐของบริษัทสหรัฐฯ ในสหภาพยุโรป หรือมาตรการจำกัดการเข้าสู่ตลาดของบริการสหรัฐฯ ในสหภาพยุโรปในสาขาสำคัญ เช่น การเงิน เทคโนโลยี เป็นต้น

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (European Council) ได้เรียกประชุมวิสามัญพิเศษ (Extraordinary Trade Ministerial Meeting) ระหว่างรัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิก เพื่อหารือแนวทางและท่าทีตอบโต้ร่วมกันของสหภาพยุโรปต่อมาตรการของสหรัฐฯ รวมถึงหารือเกี่ยวกับแนวทางการรับมือสินค้าจากประเทศจีนที่อาจทะลักเข้ามายังสหภาพยุโรปภายหลังการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งจะเป็นผลกระทบทางอ้อม (indirect Effect) จากการประกาศใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อสหภาพยุโรป ทั้งนี้ คาดว่าสินค้าที่จะอยู่ในมาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรปต่อสหรัฐฯ จะครอบคลุมเนื้อสัตว์ ธัญพืช เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ไวน์) เครื่องนุ่งห่ม หมากฝรั่ง ไหมขัดฟัน เครื่องใช้ไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น) และกระดาษทิชชู่ เป็นต้น รวมมูลค่าประมาณ 28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากที่ประชุมรัฐมนตรีการค้าสหภาพยุโรปเห็นชอบชุดมาตรการตอบโต้ดังกล่าว คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปจะเสนอให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปให้ความเห็นชอบในวันพุธที่ 9 เมษายน 2568 โดยจะต้องได้รับการเห็นชอบจากประเทศสมาชิกฯ 15 ประเทศ (ครอบคลุมประชากรรวมมากกว่าร้อยละ 65 ของประชากรรวมของสหภาพยุโรปขึ้นไป) ทั้งนี้ สหภาพยุโรปจะแบ่งมาตรการตอบโต้ออกเป็น 2 ชุด ได้แก่ ชุดแรกที่มีความครอบคลุมน้อยกว่าตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2568 เป็นต้นไป (มุ่งเน้นตอบโต้การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม) และชุดที่สองภายในเดือนพฤษภาคม 2568 หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่สำเร็จ

ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นาย Maroš Šefčovičกล่าวว่า การเจรจากับสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก ซึ่งสหภาพยุโรปต้องการให้มีการเจรจาร่วมกันอย่างเร่งด่วน โดยปัจจุบันท่าทีของสหภาพยุโรปต่อการเจรจากับสหรัฐฯ จะมี 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ (1) Defend (ปกป้อง) ประโยชน์ของเอกชนยุโรปผ่านมาตรการตอบโต้ที่อยู่ระหว่างเสนอประเทศสมาชิกให้ความเห็นชอบ (2) Diversify (กระจายความเสี่ยง) ไปยังประเทศคู่ค้าอื่นๆ ซึ่งอยู่ระหว่างประเมินความเป็นไปได้ในการเร่งการเจรจาความตกลง FTA กับประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคอ่าว (Gulf) และ (3) Defer Trade Diversion (ชะลอ/ป้องกันการเบี่ยงเบนทางการค้า) ผ่านการใช้มาตรการเพื่อปกป้องตลาดเดียว (Single Market) อย่างเข้มงวด โดยจะติดตามข้อมูลนำเข้าแบบ Real Time ใช้ระบบข่าวกรองเชิงลึกและจัดตั้งทีมเฉพาะกิจ (Task Force) เพื่อตอบสนองอย่างรวดเร็ว และในระหว่างนี้สหภาพยุโรปจะเจรจากับสหรัฐฯ โดยได้เตรียมเสนอที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อบรรลุข้อตกลงลดภาษีเป็นศูนย์ “Zero-for-Zero tariffs for industrial goods” สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ ยา เคมีภัณฑ์ พลาสติก เป็นต้น

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 นาง Ursula Von Der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปได้จัดประชุมหารือกับผู้แทนอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและรถยนต์ของยุโรป เพื่อรับฟังความเห็นจากภาคอุตสาหกรรมประกอบการพิจารณามาตรการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ ที่จะเสนอให้ประเทศสมาชิกให้ความเห็นชอบในวันพุธที่ 9 เมษายน โดยในระหว่างการหารือกับผู้แทนอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ภาคเอกชนเหล็กกล้าของยุโรปได้เรียกร้องให้สหภาพยุโรปพิจารณาแนวทางรับผลกระทบทางอ้อมจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงเสนอให้ใช้มาตรการเพื่อจำกัดการส่งออกเศษเหล็กและโลหะไปยังประเทศที่สาม ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปอาจพิจารณากำหนดอากรส่งออก (Export Duty) กับเศษเหล็กที่ส่งออกจากสหภาพยุโรปไปยังประเทศที่สามในอนาคตอันใกล้

บทวิเคราะห์และความเห็นของ สคต.
การประกาศใช้มาตรการภาษีใหม่ภายใต้กรอบ “Reciprocal Tariffs” ของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ครอบคลุมสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปทุกรายการในอัตราร้อยละ 20 ซึ่งถือเป็นการขยายมาตรการทางภาษีต่อเนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตราร้อยละ 25 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 และภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหภาพยุโรปในอัตราร้อยละ 25 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 จากการประเมินของธนาคาร Deutsche Bank พบว่ามาตรการภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหภาพยุโรปในปี 2568 เหลือเพียงร้อยละ 0.25-0.5 จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ร้อยละ 0.8 ขณะเดียวกัน มาตรการดังกล่าวยังส่งผลย้อนกลับต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง โดย Deutsche Bank ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ในปีเดียวกันลงเหลือร้อยละ 1 จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.2 การประเมินนี้สอดคล้องกับรายงานของ The Conference Board ซึ่งระบุว่า GDP ของสหภาพยุโรปจะลดลงประมาณร้อยละ 0.2 ขณะที่สหรัฐฯ อาจเผชิญกับการหดตัวของเศรษฐกิจถึงร้อยละ 1.2 แสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่ายมากกว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว

มาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรปที่อยู่ระหว่างพิจารณาจะขยายขอบเขตของมาตรการให้ครอบคลุมสินค้าใหม่ เช่น กลุ่มยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงขยายไปสู่การค้าบริการ การลงทุน ตลอดจนมาตรการจำกัดการเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐของบริษัทสหรัฐฯ ในสหภาพยุโรปเพิ่มเติม สะท้อนจากถ้อยแถลงของนาง Ursula Von Der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปต่อรัฐสภายุโรปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศใช้มาตรการอย่างเป็นทางการ โดยนาง Ursula เน้นย้ำถึงศักยภาพและอำนาจการต่อรองของสหภาพยุโรป ซึ่งมีขนาดตลาดขนาดใหญ่และประชากรกว่า 450 ล้านคน ซึ่งถือเป็นแต้มต่อสำคัญในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน สำนักข่าว Politico รายงานว่า มาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรปอาจมุ่งเป้าไปยังบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ในภาคบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคาร เช่น Bank of America กลุ่มเทคโนโลยี เช่น Google และ Social Media X รวมถึงบริษัทค้าปลีกออนไลน์อย่าง Amazon ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจสำคัญของสหรัฐฯ

ท่าทีของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรนิติบัญญัติของสหภาพยุโรปตามข้างต้น สะท้อนว่าการตอบโต้ของสหภาพยุโรปจะไปในลักษณะที่รอบคอบโดยเน้นกลยุทธ์การสร้างแรงกดดันผ่านมาตรการที่มีเป้าหมายชัดเจนและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยตรง ซึ่งในระยะสั้น สหภาพยุโรปจะใช้มาตรการทางภาษีและมาตรการอื่นๆ เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ขณะที่ในระยะยาว สหภาพยุโรปจะมุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น อินเดีย และประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และกระจายความเสี่ยงในระบบการค้าโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหภาพยุโรปจะยังคงรักษาจุดยืนในฐานะผู้เล่นหลักของระบบพหุภาคี (Multilateral System) และเน้นการใช้กติกาสากลเป็นเครื่องมือรองรับนโยบายที่อาจก่อให้เกิดความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เกิดจากมาตรการของสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์ที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการพิจารณามาตรการตอบโต้กับสหรัฐฯ ทั้งในมิติความครอบคลุมสินค้าที่จะอยู่ภายใต้มาตรการ รวมถึงขอบเขตของมาตรการที่จะบังคับใช้มาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการตอบโต้การบีบบังคับ (Anti-Coercion Instrument : ACI) ซึ่งฝรั่งเศสเสนอให้ใช้ แต่บางประเทศ อาทิ ลิทัวเนีย และเนเธอร์แลนด์ คัดค้าน โดยเห็นว่าควรพิจารณามาตรการอย่างรอบคอบเพื่อลดความตึงเครียดและช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ

ไทยควรเตรียมแผนรองรับหากสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลง “Zero-for-Zero tariffs for industrial goods” ในอุตสาหกรรมที่ไทยส่งออกมายังสหภาพยุโรป เช่น รถยนต์ เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ข้อเสนอภาคเอกชนเหล็กกล้ายุโรปให้ใช้มาตรการจำกัดการส่งออกเศษเหล็กและโลหะ และกำหนดอากรส่งออกกับเศษเหล็กย่อมกระทบกับอุปทานและราคาวัตถุดิบของผู้ประกอบการไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพิจารณาหาแหล่งวัตถุดิบอื่นเพิ่มเติม เพื่อความมั่นคงของวัตถุดิบเศษเหล็กและโลหะในประเทศไทย

ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/200806

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *