CEO ARTICLE

ไดกิ้นปิดงาน

Published on December 16, 2025


Follow Us :

    

ไดกิ้นปิดงานและเปิดงานไปแล้วให้มุมมองที่ดีด้านใดบ้าง ?

ภาษีทรัมป์ที่สูงขึ้นน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไดกิ้นต้องเร่งการผลิตเพื่อส่งออก
ปี พ.ศ. 2568 คนงานจึงทำงานมากขึ้น และในเดือน ก.ย. ได้รับรู้ผลประกอบการที่มากขึ้นจึงเริ่มเรียกร้องผลประโยชน์ที่คิดว่าควรจะได้จนเกิดการนัดหยุดงาน และการปิดงาน
ในมุมไดกิ้น งานที่มากขึ้นย่อมมีความสึกหรอของเครื่องจักรและการซ่อมแซม กำไรที่มากขึ้นจึงน่าจะมีแผนการใช้เงินรออยู่ เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร การลงทุน และอื่น ๆ
มุมแผนการใช้เงินจึงมีส่วนกระทบต่อโบนัสพนักงานไม่มากก็น้อย
แต่ในมุมพนักงาน ไดกิ้นมีสัญญาว่าจ้างตั้งแต่ต้นไม่ว่าจะเป็นโบนัส เงินเพิ่ม และทองคำที่ใครไม่ลากิจ ไม่ลาป่วยตลอดเวลาระหว่าง 6-10 ปีจะได้ทองคำน้ำหนักตั้งแต่ 1-3 บาท
พนักงานมีเงินเดือนน้อยอยู่แล้ว เมื่อได้แรงจูงใจด้วยทองคำจึงไม่ลากิจ ไม่ลาป่วยเป็นปี ๆ ไม่ลาออกไปหางานที่อื่นทำ และทุ่มเทให้กับงานที่มากขึ้น มุมนี้ พนักงานจึงไม่ผิดที่จะเรียกร้อง
งานบางประเภทอาจทำจากที่ไหน หรือ Work From Home ก็ได้ แต่งานของไดกิ้น และอีกหลายประเภทต้องทำในที่ทำงาน หรือต้องมาให้พร้อมหน้าเพื่อปรึกษาหารือให้เกิดประสิทธิภาพ
ในมุมข้อตกลง ไดกิ้นคงลืมว่า ราคาทองคำมีแต่ขึ้น ย้อนหลัง 10 ปี ราคาทองคำบาทละไม่ถึง 20,000 บาท แต่ในปี พ.ศ. 2568 กลับมีราคามากกว่า 60,000 บาททำให้ไดกิ้นแบกรับไม่ไหว
ดังนั้น หากใครจะจูงใจคนด้วยทองคำก็ควรกำหนดราคาให้ชัดเจน เช่น ขณะทำข้อตกลงก็ควรกำหนดราคาทองคำไม่เกินบาทละ 30,000 บาท หากเกินจะใช้เงิน 30,000 บาทแทน เป็นต้น
โชคดีที่ 2 ฝ่ายยืดหยุ่นและตกลงกันได้ การปิดงานจึงยุติลงในวันที่ 09 ธ.ค. 2568

คำว่า “การปิดงาน” ที่เป็นข่าวในครั้งนี้ทำให้คนไทยเข้าใจกฎหมายมากขึ้น
“การปิดงาน” (Lockout) ไม่ใช่การเลิกจ้าง แต่หมายถึง การที่นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมให้ลูกจ้างทำงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาท และเป็นการใช้อำนาจตอบโต้ทางกฎหมายของนายจ้างตามมาตรา 4 แห่ง พรบ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
ขณะเดียวกัน หากการปิดงานหรือการนัดหยุดงานของลูกจ้างก็อาจสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศ ความเดือดร้อนแก่ประชาชน เป็นภัยต่อความมั่นคง หรืออาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มาตรา 35 จึงให้อำนาจรัฐมนตรีสั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายกลับมาทำงานได้
ในมุมกฎหมายแรงงาน ในมุมสัญญาแรงจูงใจ ไดกิ้นอาจมีส่วนผิด แต่ไดกิ้นเป็นต่างชาติ เป็นกิจการที่นำเงินเข้ามาลงทุน มาสร้างงาน และสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทย
หากการปิดงานครั้งนี้ยืดเยื้อ ไม่มีข้อยุติ เรื่องคงบานปลาย
แม้พนักงานจะได้เปรียบเพราะมีสัญญาว่าจ้าง แต่หากมีการฟ้องร้อง เรื่องคงยืดยาว และเป็นข่าวไปทั่วโลก ระหว่างฟ้องร้อง พนักงานย่อมวุ่นวาย อาจตกงาน และขาดรายได้ ส่วนชื่อเสียงของประเทศไทยก็อาจเสียหายจนต่างชาติไม่อยากเข้ามาลงทุน และเสียหายในภาพใหญ่มาก
สุดท้าย ไดกิ้นก็อาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น และอาจเป็นต้นแบบให้กิจการต่างชาติอื่นย้ายฐานการผลิตตามจนเป็นโดมิโน่ของความเสียหาย
การตกลงกันได้จึงเป็นด้านดีของทั้ง 2 ฝ่าย ให้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เป็นบทเรียนที่ดีให้ฝ่ายโรงงานในการทำสัญญา และเป็นบทเรียนให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องเข้ามาดูแลผลประโยชน์ของแรงงานในอนาคตให้รัดกุมมากขึ้น
ไดกิ้นปิดงานและเปิดงานไปแล้วจึงยังมีมุมมองที่ดีให้เห็น.

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

(พื้นที่โฆษณา)
โฉนดแลกเงินด่วน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.75% ต่อเดือน ถูกกฎหมาย
อนุมัติใน 3 วัน ทำสัญญาที่สำนักงานเขตที่ดิน ไม่เช็คบูโร
ติดต่อ https://inno-home.com/loan-lead/

อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ https://snp.co.th/e-journal/

Date Published : December 16, 2025

Logistics

เม็กซิโกปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ไม่มีความตกลงการค้ากับเม็กซิโก 1,463 รายการ เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2569

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2025 สภาคองเกรสเม็กซิโกได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขกฎหมายภาษีนำเข้าและส่งออกทั่วไป เพื่อปรับอัตราภาษีสินค้าที่นำเข้าจากประเทศที่ไม่มีความตกลงการค้ากับเม็กซิโก (Non-FTA countries) รวม 1,463 รายการ เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2569

สินค้าที่ได้รับผลกระทบจำนวน 1,463 รายการ อยู่ภายใต้หมวดดังนี้ (Chapter) 33, 34, 39, 40, 42, 48, 50–60, 61–64, 69, 70, 72, 73, 76, 83, 84, 85, 87, 90, 94, 95 และ 96 โดยแบ่งเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ 141 รายการ รถยนต์ขนาดเล็ก 13 รายการ รถจักรยานยนต์ 8 รายการ รถพ่วง 1 รายการ เสื้อผ้า 308 รายการ พลาสติก 79 รายการ เหล็ก 248 รายการ เครื่องใช้ไฟฟ้า 18 รายการ ของเล่น 37 รายการ สิ่งทอ 398 รายการ เฟอร์นิเจอร์ 28 รายการ รองเท้า 49 รายการ สินค้าเครื่องหนัง 18 รายการ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ 47 รายการ อะลูมิเนียม 21 รายการ ผลิตภัณฑ์แก้ว 25 รายการ และสบู่ น้ำหอม และเครื่องสำอาง 24 รายการ

มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของประธานาธิบดี Claudia Sheinbaum ที่ต้องการสนับสนุนภาคการผลิต และคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยประธานาธิบดี Sheinbaum ได้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 และสภาฯ ได้มีมติผ่านร่างดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2025 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 281 เสียง ไม่เห็นชอบ 24 เสียง และงดออกเสียง 149 เสียง โดยผู้แทนสภาฯ ชี้แจงว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าวจะช่วยร้างความสมดุลในการแข่งขันระหว่างสินค้านำเข้าและสินค้าในประเทศ อีกทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้เกิดการผลิตภายในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยมาตรการนี้มุ่งเน้นไปยังกลุ่มประเทศในที่มีบทบาทสำคัญด้านการส่งออกเข้าสู่เม็กซิโก ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย เวียดนาม ไทย บราซิล อินโดนีเซีย ไต้หวัน นิคารากัว สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกมายังเม็กซิโกสูง ดังนั้น การปรับขึ้นภาษีนำเข้าครั้งนี้จะช่วยสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้กับผู้ผลิตในประเทศได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี สภาฯ ได้พิจารณาปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลงจากร่างข้อเสนอของประธานาธิบดี Sheinbaum สำหรับบางกลุ่มสินค้าอาทิ กลุ่มยานยนต์ พลาสติก เพื่อให้มั่นใจว่าภาคอุตสาหกรรมของเม็กซิโกจะมีวัตถุดิบในการผลิตที่เพียงพอและอยู่ในสภาวะที่แข่งขันได้

ความเห็นจากฝ่ายค้านและภาคเอกชน สมาชิกฝ่ายค้านและเอกชนบางกลุ่มได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการภาษีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจะไม่ช่วยให้เกิดความหลากหลายในทางการค้าของเม็กซิโกแต่กลับทำให้เม็กซิโกต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นในระยะสั้นจะส่งผลให้ราคาสินค้าทุกประเภทเพิ่มขึ้น กดดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนส่งผลกระทบต่อ SMEs และจะไม่ช่วยให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมเม็กซิโกในระยะยาวได้ เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอื่นๆ เช่น การลงทุน และแรงงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการอ้างอิงข้อมูลจากภาคการส่งออกว่ากว่าร้อยละ 40 ของการส่งออกของเม็กซิโก ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้าจากจีนและประเทศในเอเชียอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ เคมี สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก โลหะ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผลิตทั้งสิ้น ทั้งนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้แสดงความกังวลและเรียกร้องคำชี้แจงจากรัฐบาลโดยระบุว่าการประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าดังกล่าวไม่มีการศึกษาและประเมิณผลกระทบเชิงลึกต่อภาคธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งอาจไม่ส่งผลดีต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ

ผลกระทบต่อไทย การปรับเพิ่มภาษีนำเข้าดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปี 2569 โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีการส่งออกมายังเม็กซิโก เช่น อาทิ (1) สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน ที่มีการปรับอัตราภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 7 – 50 จากเดิมที่เก็บร้อยละ 0 – 15 (2) กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์/เครื่องจักร ปรับเป็นร้อยละ 25 – 35 จากเดิมร้อยละ 0 – 15 (3) กลุ่มสินค้าพลาสติก ปรับเป็นร้อยละ 7-25 จากเดิมร้อยละ 0 – 15 (4) เสื้อผ้าและสิ่งทอ ปรับเป็นร้อยละ 25 – 35 จากเดิม 0 -25 (5) เฟอร์นิเจอร์ ปรับเป็นร้อยละ 25 – 35 จากเดิมร้อยละ 0 – 15 ทั้งนี้ สินค้าไทยที่อาจได้รับผลกระทบสูงสุด ได้แก่ กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนเนื่องจากมีการปรับภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง และเม็กซิโกนำเข้าจากไทย ปี 2568 (ม.ค. – ก.ย.) มูลค่ากว่า 679 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ผู้นำเข้าที่นำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้จากไทยหันไปนำเข้าสินค้าจากแหล่งอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว เช่น มาเลเซียและเวียดนาม เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP เช่นเดียวกับเม็กซิโก

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากรายการสินค้าที่เม็กซิโกนำเข้าจากไทยสูงสุดพบว่าสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูงส่วนใหญ่ (ยกเว้นยานยนต์) ไม่ถูกรวมอยู่ในรายการที่ปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ อาทิ หน่วยประมวลผลอัตโนมัติ (พิกัด 8471) ชิ้นส่วนเครื่องจักร (พิกัด 8473) เครื่องพิมพ์ (พิกัด 8443) โทรศัพท์ (พิกัด 8517) แผนวงจรไฟฟ้า (พิกัด 8542) หม้อแปลงไฟฟ้า (พิกัด 8504) เครื่องมือและอุปกรณ์ทัศนศาสตร์ (พิกัด 9026/9001/9032) และเครื่องประดับ (พิกัด 71) ดังนั้น การปรับขึ้นภาษีดังกล่าวอาจไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยมายังเม็กซิโกในภาพรวมมากนัก อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกไทยควรเร่งปรับกลยุทธ์โดยเฉพาะการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพมาตรฐานเหนือกว่าคู่แข่ง การจัดส่งตรงเวลาและความต่อเนื่องของอุปทาน รวมถึงไทยอาจพิจารณาจัดทำความตกลงทางการค้ากับเม็กซิโก เพื่อลดข้อจำกัดทางภาษีและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในระยะยาวต่อไป

ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/muicqxd6v6pt9kji30ikgwcr

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *