SNP NEWS

ฉบับที่ 544

Follow Us :     เพิ่มเพื่อน  

CEO ARTICLE

ดราม่าการเมือง

“ทำไมการเมืองไทยยิ่งดูไปก็ยิ่งคล้ายละครดราม่า ?”

“เมื่อไรดราม่าการเมืองจะหมดไปจากประเทศไทย ?”

ประวัติศาสตร์การเมืองของไทยในระบอบประชาธิปไตยเริ่มในปี พ.ศ. 2475 จากนั้นมาประชาชนก็ถูกนำมากล่าวอ้างเพื่อการแย่งชิงอำนาจผ่านการตั้งรัฐบาล และการรัฐประหาร

ผ่านไปราว 40 ปี ประชาชนก็ค่อย ๆ มีความรู้ มีความเข้าใจมากขึ้น การมีส่วนร่วมก็มากขึ้นจนเกิดเหตุการณ์นักศึกษาประท้วง 2 ครั้งในปี 2516 และปี 2519 ที่กลายเป็นวันมหาวิปโยคแห่งความสูญเสียของไทย

ใคร ๆ ก็นึกว่าการเมืองไทยจะดีขึ้น แต่เอาจริง ๆ มันก็ดีขึ้นบ้าง อำนาจถูกหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปมาระหว่างทหารกับพรรคการเมืองไป ๆ มา ๆ อีกราว 20 ปี

ปี 2534 การรัฐประหารก็เกิดขึ้นและตามมาด้วยความสูญเสียในปี 2535  

ครั้งนี้ผู้ติดตามการเมืองก็คิดว่า การรัฐประหารคงหมดแล้วทำให้นักธุรกิจที่ส่วนใหญ่เคยแอบอยู่หลังทหารและพรรคการเมืองกล้าเข้ามาเล่นเกมอำนาจอย่างเต็มตัว

ยุคนี้ ธุรกิจการเมืองจึงเกิดขึ้น เมื่อเป็นเรื่องธุรกิจ มันก็ต้องมีการตลาดเข้ามา

การสร้างเรื่องราว คำบอกเล่า การตีไข่ใส่สีล้วนเพื่อการตลาดก็เริ่มขึ้น พรรคการเมืองถูกแบ่งเป็น 2 ค่าย หนึ่งคือพรรคเทพ อีกหนึ่งคือพรรคมารให้กลายเป็นดราม่า

จริง ๆ ดราม่าการเมืองน่าจะมีมานานแล้วแต่การกระจายสู่ประชาชนทำได้น้อย พอมาถึงยุคเทพกับมาร โทรศัพท์มือถือมีบทบาทพอดี ดราม่าเทพและมารจึงกระจายออกไปด้วยเครื่องมือสื่อสารและการตลาดเป็นตัวเร่งส่ง

ทั้ง ๆ ที่ประชาชนมีความรู้มากแต่ยิ่งเสพก็ยิ่งดราม่าตาม ในที่สุดดราม่าก็ได้ผล การเมืองหลังปี 2535 อำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่จึงมาคู่กับดราม่าและตกอยู่ในมือธุรกิจมากกว่าทหาร

ธุรกิจการเมือง การตลาดและดราม่าการเมืองจึงเริ่มเบ่งบานในยุคนี้

การเมืองเป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจ และอำนาจนั้นสามารถใช้จัดสรรทรัพยากรของชาติไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ป่าไม้ คลื่นในอากาศ ข้าราชการ งบประมาณ ฯลฯ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างเป็นธรรม

ทรัพยากรของชาติไม่มีใครเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครใช้อำนาจจัดสรรได้แต่เพียงผู้เดียว

ทรัพยากรทั้งหมดเป็นของประชาชน และประชาชนต้องเป็นผู้ร่วมจัดสรรแต่การเมืองไทยตั้งแต่ 2475 เรื่อยมากลับอยู่ในวังวนของการช่วงชิง ใครมีอำนาจรัฐก็บันดาลให้พวกพร้องได้ครอบครองทรัพยากรมากกว่าทำให้ทรัพยากรส่วนรวมตกอยู่ในมือผู้มีอำนาจมากกว่า

นี่คือวังวนการเมืองไทย

ในเมื่อการเมืองเป็นเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ และไม่มีใครรู้เรื่องผลประโยชน์ได้ดีเท่าธุรกิจการเมือง หลังปี 2535 ทรัพยากรของชาติก็ถูกธุรกิจการมืองเข้ามาจัดสรรให้กันเห็นชัด ๆ ไม่มีปิดบังด้วยโครงการประชานิยมที่ให้ดอกออกผลมากกว่าอดีตที่มีในช่วงเลือกตั้งและคืนหมาหอน

ประชาชนจะได้อะไรก็เปิดกันชัด ๆ ไปเลย ธุรกิจการเมืองได้อะไรก็ให้เข้าใจกันชัด ๆ ซึ่งกลายเป็นความสนุกสนานของธุรกิจการเมืองกับตัวเลขพันล้าน หมื่นล้าน

เวลาผ่านไปอีกราว 15 ปี ความสนุกก็ยุติลงด้วยการรัฐประหารในปี 2549 อีก แต่ครั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่ติดใจผลประโยชน์ที่ได้รับการจัดสรรแล้ว มันชัดเจน มันเปิดเผย แต่ประชาชนอีกส่วนกลับเห็นตรงข้าม กลับแสดงอาการคัดค้าน

นับแต่นั้น ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยก็ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนโดยอัตโนมัติ

ความน่ากลัวในเวลานั้นคือ ใครคิดยืนอยู่ตรงกลางก็จะถูกผลักให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามทันที

ส่วนหนึ่งชอบธุรกิจการเมืองเพราะผลประโยชน์ที่ได้โดยไม่ใส่ใจการทุจริต มึงบ้าง กูบ้าง ดู ๆ ยุติธรรมดี อีกส่วนรังเกียจการทุจริตและประชานิยมที่สอนคนให้รอรับอย่างเดียว

คนชอบธุรกิจการเมืองมากกว่า ดังนั้น การเลือกตั้งหลังปี 2549 อำนาจการเมืองจึงยังวนกลับมาอยู่ในมือธุรกิจการเมืองที่ตามมาด้วยการตลาด ความเป็นดราม่า ความเหลิงอำนาจ

สุดท้ายก็เกิดการรัฐประหารอีกจนได้ในปี 2557

ดราม่าการเมืองที่มีมาเงียบ ๆ แต่เก่าก่อนจึงเบ่งบานหลังปี 2535 ตามการตลาด ตามพรรคเทพ พรรคมาร และเครื่องมือสื่อสารที่เริ่มแพร่หลายและเป็นตัวกระจายความเป็นดราม่า

มาถึงวันนี้ เดือนธันวาคม 2561 สัญญาณการเมืองไทยก็ดังขึ้นมาอีก ข่าวคราวการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกล๊อกก็มีกำหนดคลายตัว เงื่อนเวลาต่าง ๆ มีความชัดเจน

ความหลงไหลในผลประโยชน์ที่ประชาชนเคยได้รับการจัดสรรจากธุรกิจการเมือง การตลาดที่เคยได้ผลจากธุรกิจการเมืองจึงถูกนำมาใช้อีก แล้วการตลาดก็ต้องมีดราม่าตามมาอีก

ด้านหนึ่งต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อีกด้านหนึ่งก็ต่อสู้เพื่ออนาประชาธิปไตย

ด้านหนึ่งก็คนเคยอยู่พรรคเทพ พรรคมารด้วยกัน อีกด้านก็คนเคยอยู่พรรคเทพ พรรคมารด้วยกัน ด้านหนึ่งต่อสู้เพื่อประชาชน อีกด้านก็ต่อสู้เพื่อประชาชน

ทั้งหมดไม่เห็นแตกต่างกัน แต่ดราม่าการเมืองทำให้แตกต่างกันได้ ทำให้เป็นตำนาน ให้เป็นเรื่องเล่าขานจากการตลาด และเข้าสู่ความเป็นดราม่าทั้งสิ้น

ประชาชนก็ยังถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน นักการเมืองที่ตนชื่นชอบต้องเป็นพระเอก หรือนางเอก ส่วนนักการเมืองที่ตนไม่ชอบต้องเป็นผู้ร้ายภายใต้ดราม่าการเมือง

ประกอบกับโลกโซเซียลในวันนี้มีวิวัฒนาการขึ้นอีก เครื่องมือสื่อสารทันสมัยขึ้นมาก ประกายดราม่าที่จุดเพียงเรื่องเดียว พลังโซเซียลกลับกระจายได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งที่มีกฎหมายควบคุม แต่ว่าวขึ้นลมไปแล้ว ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว

กว่ากระบวนการยุติธรรมจะเข้ามาจัดการ ดราม่าการเมืองก็เอาตีไปกินเรียบร้อย

คำถามที่ว่า ทำไมการเมืองไทยยิ่งดูไปก็ยิ่งคล้ายละครดราม่า ?

คำตอบอยู่ที่ประชาชนผู้เสพ ผู้กระจายนี่ล่ะ หากประชาชนหยุดกระจาย ดราม่าการเมืองจะไปต่อได้อย่างไร มันต้องหยุดตามไปด้วย

ทั้ง ๆ ที่มันเริ่มจากการตลาดการเมืองแล้วสร้างเรื่องราวให้เป็นดราม่า จากนั้นก็เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ประชาชนเคยได้และอยากได้อีก

มันทำให้ดราม่าการเมืองแต่ละเรื่องหยุดไม่อยู่และวิ่งกระจายอย่างรวดเร็ว

ยิ่งวันนี้ เศรษฐกิจที่ธุรกิจการเมืองถนัดและเป็นเรื่องปากท้องประชาชนถูกจุดติด ดราม่าการเมืองภายหลังการปลดล๊อกจึงน่าจะฉุดไม่อยู่อย่างแน่นอน ต้นปี 2562 คงมีพระเอก นางเอก และผู้ร้ายออกมาวิ่งเพ่นพล่านในดราม่าการเมืองมากยิ่งขึ้น

ส่วนคำถามที่ เมื่อไรดราม่าการเมืองจะหมดไปจากการเมืองไทย ?

คำตอบก็น่าจะราว 20 ปี  … ทำไมหรือ ?

ระบอบประชาธิปไตยเริ่มในปี 2475 จนถึง 2561 ระยะเวลา 86 ปี ผ่านเหตุการณ์สำคัญในปี 2516 2519 2535 2549 2557 หากประชาชนในปี 2535 ผู้เสพดราม่าเทพมารที่เริ่มเบ่งบานส่วนใหญ่ตอนนั้นมีอายุ 30-40 ปี วันนี้ ปี 2561 พวกเขาก็น่าจะมีอายุราว 56-66 ปี แล้ว

หากคนกลุ่มนี้ ในวันนี้ยังเป็นผู้เสพดราม่าการเมืองและแชร์ในโลกโซเซียลอยู่ อีก 20 ปีข้างหน้า พวกเขาจะมีอายุ 76-86 ปี เรี่ยวแรงเริ่มโรยรา

การแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ก็น่าจะโรยราตามไปด้วย

อีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็คงมีคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 20 หรือ 30 หรือ 40 ปี คนกลุ่มนี้จะใช้เทคโนโลยีและโซเซียลเพื่อความบันเทิงและธุรกิจมากกว่า

วันนั้นจึงเชื่อว่า ดราม่าทางการเมืองคงหมดไป

ส่วนวันนี้ในปี 2561-2562 แม้จะมีกฎหมายควบคุมการแพร่กระจายแต่การตลาดยังคงมีความจำเป็นต่อธุรกิจการเมือง ดราม่าการเมืองจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในเมื่ออยากได้คะแนนจากการเลือกตั้ง การเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่นจึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการสร้างเป็นดราม่าให้มันเผยแพร่ออกไป แล้วปล่อยให้โซเซียลมันทำงานของมันเองเท่านั้น

ที่เหลือ ผู้ปล่อยดราม่าก็นั่งรับผลประโยชน์ไป

ตลอดเวลา 86 ปีที่ผ่านมา การเมืองกระทบสังคมและเศรษฐกิจของไทยสูงมาก การค้า การลงทุน ธุรกิจระหว่างประเทศ และ Logistics ถูกกระทบไม่รู้เท่าไร

ไม่ว่าการเมืองจะหันไปด้านไหน ธุรกิจ การค้า และ Logistics ก็ถูกกระทบทั้งนั้น มันไม่ต่างกัน หากประชาชนจะเหลียวดูคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดี 2 ท่านทั้งโซเวียตและสหรัฐที่ปรากฎท้ายบทความนี้ก็พอจะสรุปได้ว่า

“การเมืองเหมือนกันหมด สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจมานั่นล่ะ” (ผู้เขียน)

แล้ววันนี้ ดราม่าการเมืองกำลังจะกลับมา

หากประชาชนพอจะรู้เท่าทันดราม่าการเมือง หากจะเริ่มหยุดไลค์ หยุดแชร์ ลองทำแบบนี้ ใครจะไปรู้ ดราม่าการเมืองที่มีมุขต่าง ๆ ก็อาจจะแป๊กขึ้นมาก็ได้

ทั้งหมดของคำตอบจึงกลับไปอยู่ที่ประชาชนในปี 2561-2562 นี่เอง ประชาชนเป็นผู้เสพ ประชาชนจึงต้องรู้ ต้องเข้าใจ และต้องมองต่างจากประชาชนปี 2475

เว้นแต่ประชาชนในวัยนี้นั่นล่ะ หากยังชอบดราม่า ยังสนุกอยู่กับโลกดราม่า มันก็ย่อมทำให้ดราม่าการเมืองของไทยไม่มีทางหมดไปจนกว่าคนรุ่นนี้จะหมดแรงไปนั่นเอง

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

ปล.   ครุสเซฟ อดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตกล่าวว่า

“นักการเมืองเหมือนกันหมดไม่ว่าที่ไหน พวกเขาสามารถให้สัญญาที่จะสร้างสะพานได้แม้ในสถานที่ที่ไม่มีแน่น้ำ” (http://www.quotationspage.com/quote/829.html)

Politicians are the same all over. They promise to build a bridge even where there is no river.

เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า

“การเมืองน่าจะเป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดอันดับสอง ผมมาได้รับรู้ว่ามันมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับอาชีพอันดับแรก” (http://www.quotedb.com/quotes/3235)

Politics is supposed to be the second-oldest profession. I have come to realize that it bears a very close resemblance to  the first.

(อาชีพเก่าแก่ที่สุดอันดับหนึ่งของโลกคือ โสเภณี : ผู้เขียน)

LOGISTICS

ONE ร่วมมือกับสายการเดินเรืออีก 4 ราย เตรียมก่อตั้งสมาคมไม่แสวงหาผลกำไร

 
Ocean Network Express (ONE) ประกาศว่า สายการเดินเรือทั้งหมดห้าบริษัท ได้แก่ A.P. Moller – Maersk, CMA CGM, Hapag-Lloyd, MSC และ Ocean Network Express ได้วางแผนร่วมกันก่อตั้งสมาคมไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางทะเลให้เข้าสู่ความเป็นดิจิทัล รวมทั้งพัฒนามาตรฐานและการทำงานร่วมกันในอุตสาหกรรมฯ ซึ่งจะเริ่มปฏิบัติงานช่วงต้นปี 2019 และยังมีการเปิดรับสายการเดินเรืออื่นๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมอีกด้วย  Mr. André Simha ประธานฝ่ายสารสนเทศ สายการเดินเรือ MSC และโฆษกของสายการเดินเรือทั้งห้าราย กล่าวว่า “หากบริษัทสายการเดินเรือร่วมมือกันปฏิบัติการและให้บริการภายใต้เทคโนโลยีด้านข้อมูลที่ได้มาตรฐานแบบเดียวกัน จะทำให้ลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง โดยกลุ่มสายการเดินเรือของเรา มีความมุ่งมั่นในการสร้างความโปร่งใสของข้อมูลที่มากขึ้น ซึ่งเวลาในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว เนื่องจากการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเป็นการเสริมสร้างและเปิดโอกาสให้แก่ลูกค้ารายใหม่ด้วย ด้วยการร่วมมือกัน เราจะสามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่และให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ”