CEO ARTICLE
เงินของใคร
“ความเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอด 2 วันที่ผ่านมาถือได้ว่าอยู่ในภาวะเข้มข้นถึงขีดสุดในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่กำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน มี.ค. 62”
ข้อความข้างต้นเป็นข่าวจากสถานีโทรทัศน์ “บลูมเบิร์ก” ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเมืองไทย ข้อความได้ถูกแปลเป็นภาษาไทย ปรากฏทาง www.amarintv.com และถูกเผยแพร่ในช่วงหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (10 ก.พ. 62)
คนไทยเกือบทั้งประเทศต่างรู้ว่า ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มี.ค. 62 แต่ข่าวที่ออกมาในวันศุกร์ที่ 8 ก.พ. 62 กลับทำให้คนไทยช๊อกกันทั้งประเทศ
อะไรและทำไมเป็นคำถามที่ถกกันในสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวางไร้การควบคุม
แม้วิกฤตินี้จะผ่านพ้นไปเปราะหนึ่งด้วยพระบารมีปกเกล้าของในหลวง แต่การกระทำก็ส่งผลตามมาอีกมาจนมีข่าวว่า อาจมีการลงโทษสถานหนักจนถึงขั้นยุบพรรคไปเลยก็มี
คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ทำไมการเมืองต้องเล่นกันขนาดนี้ ???
“การเมืองเป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจ จากนั้นก็ใช้อำนาจนั้นมาจัดสรรผลประโยชน์”
นี่คือประโยคหนึ่งที่นักศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ รัฐศาสตร์ และการเมืองรู้ และเข้าใจว่าผลประโยชน์นั้นต้องเป็นของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แต่จะมีคนสนใจการเมืองสักกี่คนที่รู้ว่า ผลประโยชน์นั้นมีอะไรบ้างและมันมากมายเพียงไหนจึงทำให้การต่อสู้ต้องเป็นไปอย่างเอาเป็นเอาตาย
จริง ๆ แล้วผลประโยชน์ที่ว่านี้มีมากมาย เอาแค่เงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชาวบ้านเป็นผู้จ่ายจากการกินการใช้ การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค การเข้าร้านสะดวกซื้อที่เป็นชีวิตประจำวันของคนไทยเกือบทุกคนดูก็ได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีคนต้องกินต้องใช้เกือบ 70 ล้านคน ชาวบ้านยากจนมีมากกว่า สมมติให้มี 60 ล้านคน และคนพอมีฐานะอีก 10 ล้านคน
หากชาวบ้านยากจน 1 คน ใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 100 บาท ผลก็คือชาวบ้าน 1 คนต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยวันละ 7 บาททันที
บางคนจ่ายแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
เงินที่ชาวบ้านจ่ายเป็นภาษีมูลค่าเฉลี่ยวันละ 7 บาท หรือเดือนละ 210 บาท หรือปีละ 2,520 บาท ดูไม่มีความหมาย ไม่มีผลประโยชน์อะไรที่นักการเมืองจะต้องเข้ามาวุ่นวายด้วย
แต่หากมองชาวบ้านยากจน 60 ล้านคน เงินเพียงคนละ 7 บาทต่อวันจะเท่ากับวันละ 420 ล้านบาท หรือเดือนละ 12,600 ล้านบาทต่อเดือน หรือปีละ 151,200 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
หากถามว่า เงินมากมายเป็นแสนล้านบาทนี้เป็นของใคร ??
คำตอบที่เห็น ๆ กันอยู่ก็คือ เงินแสนล้านเป็นของชาวบ้านยากจนที่ต้องกินต้องใช้ทุกวัน
บางคนซื้อข้าวแกงจากร้านค้าโดยไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่แม่ค้าก็ต้องซื้อของส่วนหนึ่งจากห้างขายส่งสมัยใหม่ที่ปัจจุบันราคาวัตถุดิบถูกลงมาโดยมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระรวมด้วย
แม้แม่ค้าจะไม่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายข้าวแกง อาหารตามสั่ง แต่อย่าลืมว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มที่แม่ค้าจ่ายออกไปตอนซื้อวัตถุดิบจากห้างค้าส่งก็ต้องถูกรวมเข้าไปในค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว
ชาวบ้านผู้บริโภคข้าวแกงจึงเป็นผู้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มทางอ้อมอย่างไม่รู้ตัว
แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยไม่ได้มีเพียงชาวบ้านยากจน 60 ล้านคน แต่ยังมีคนพอมีฐานะอีก 10 ล้านคน ยังมีภาษีเงินได้คนทำงาน ยังมีภาษีสรรสามิต อากรศุลกากรที่ผู้นำเข้าต้องชำระ ยังมีภาษีธุรกิจที่เป็นภาระของผู้ประกอบการอีกไม่รู้เท่าไร
มันจึงกลายเป็นเงินภาษีอากรรวม ๆ แล้วหลายแสนล้าน หรืออาจเป็นล้านล้านบาทต่อปีที่มากมายมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ
เงินเดิมพันนับแสนล้าน นับล้านล้านบาทที่กองอยู่ในคลังแต่ละปีจึงเป็นกองมหึมาที่ล่อใจนักการเมืองให้เข้ามาบริหารจัดการ
หลังเลือกตั้งและจัดรัฐบาลเสร็จ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้จ่ายเงินมากกว่าโดยมี ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลยกมือสนับสนุนให้งบประมาณผ่าน ส่วน ส.ส. ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่ไม่ว่าจะตรวจอย่างไร สุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็เอาเงินแสนล้านนี้ไปใช้ได้ทุกที
หากมีการทุจริต กว่าจะตรวจจับในภายหลัง กว่าจะยื่นศาลให้ตัดสิน เงินภาษีที่ชาวบ้านจ่ายทุกปีก็หายเพิ่มไปเรื่อย ๆ อย่างที่เห็น
นักธุรกิจบางคนเคยทำกำไรได้ปีละ 10 ล้าน 100 ล้าน อาจรู้สึกไม่หน่ำใจ อาจอยากลองฝีมือ ก็อยากเข้ามาบริหารจัดการเงินภาษีแสนล้านหรือล้านล้านบาท
คนอยากจึงหันมาเล่นการเมืองมากขึ้น
ส่วนคนที่เล่นจนติดแล้วก็เลิกไม่ได้
เงินภาษีที่ชาวบ้านร่วมกันจ่ายทุกวันจึงเป็นคำตอบ ทำไมความเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอด 2 วันที่ผ่านมาจึงเข้มข้นถึงขีดสุดตามที่สื่อต่างประเทศชี้ออกมา
คนไทยมีรวมกันเกือบ 70 ล้านคน แต่คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 มีราว 51 ล้านคนเป็นผู้มอบอำนาจให้นักการเมืองเข้ามาใช้เงินของชาวบ้านผ่านการเลือกตั้ง
แล้วจะมีคนมีสิทธิ์เลือกตั้งสักกี่คนที่รู้ว่า นักการเมืองจะเอาเงินของตนไปทำอะไรบ้าง
บางพรรคการเมืองไม่มีนโยบาย ไม่มีโครงการ ไม่มีแนวทางที่น่าเชื่อถือได้มาเสนอ บางพรรคการเมืองเสนอนโยบายให้ดูสวยหรูไว้ก่อน ส่วนจะทำให้หรือไม่ค่อยว่ากันภายหลังโดยไม่ใส่ใจว่าทุก ๆ นโยบายที่เสนอต้องใช้เงินเป็นหมื่นล้าน เป็นแสนล้านที่ดูดจากกระเป๋าชาวบ้าน
คนมีสิทธิ์เลือกตั้งส่วนหนึ่งอาจเลือกเพราะนโยบาย เลือกเพราะเชื่อมั่น แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะเลือกจากเป้าหมายในใจหรือเลือกตามพาราดาม (Paradigm) คือ กระบวนทัศน์ หรือ กรอบความคิด ที่ฝังเป็นแนวคิดพื้นฐานของตน
ตอนเลือกตั้ง อำนาจเป็นของชาวบ้านที่จะเลือกใคร แต่หลังเลือกตั้ง อำนาจของชาวบ้านที่มีไม่รู้หายไปไหน ชาวบ้านจะขอดู จะขอตรวจการใช้เงินก็แสนจะลำบากทั้ง ๆ ที่อำนาจเป็นของชาวบ้าน
ประเทศไทยจึงพายเรืออยู่ในวังวนเช่นนี้โดยมีเงินภาษีอากรที่ชาวบ้านจ่าย มีทรัพยากร และสาธารณประโยชน์อื่น ๆ ที่เป็นของชาวบ้านทั้งประเทศถูกนำออกไปใช้โดยนักการเมือง
ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกอ้างในช่วงเลือกตั้งทุกครั้งเป็นระบอบที่นักการเมืองใช้เพื่อช่วงชิงอำนาจที่เป็นของประชาชน โดยประชาชนเป็นผู้เลือกนักการเมืองที่เสนอตัวให้เป็นตัวแทนในการใช้อำนาจ และเมื่อนักการเมืองได้อำนาจนั้นมาจัดสรรประโยชน์เพื่อประชาชน
คำอธิบายสั้น ๆ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงเป็น “ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”
แต่จะมีชาวบ้านที่มีสิทธิ์เลือกตั้งสักกี่คนที่ตระหนักในเรื่องนี้ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเงินแผ่นดินไม่ว่าจะกี่แสน กี่ล้านล้านบาทต่อปี ที่แท้แล้วเป็นเงินของตนเองที่จ่ายออกไปทุกวัน
การต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในเวลาต่อจากนี้ การเอาดีใส่ตัว เอาชั่วในคนอื่นที่กำลังจะปรากฎนับต่อแต่นี้ไป จึงเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อช่วงชิงอำนาจเท่านั้น
ทุก ๆ วลีทางการเมืองเป็นเพียงวาทกรรมที่มีทั้งถูกและผิดอยู่ในตัว
หากคนมีสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 51 ล้านคนสงบสติสักนิด นิ่งสักหน่อย ใช้พาราดามในสมองให้ถูกทาง อย่างมีหลักการและเหตุผล ดูในสิ่งที่ควรจะดู และพิจารณาอย่างรอบครอบ
เพียงเท่านี้ก็จะพอมองเห็นว่า พรรคการเมืองไหนบ้างที่มีแนวทางการนำเงินของตนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนให้ตนเองและพวกพร้องอย่างแท้จริง
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร