CEO ARTICLE
ความสำคัญของตนเอง
“ทำไมเราจึงดูไม่มีตัวตนในสังคมนี้ ไม่ว่าเจ้านาย ผู้จัดการ หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน พ่อ แม่ หรือแม้แต่คนในครอบครัว ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ดูเหมือนไม่ให้ความสำคัญใด ๆ ต่อเราเลย”
ใครที่เจอปัญหาแบบนี้ควรทำอย่างไร ?
ปัญหาแบบนี้ ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์เจอได้ ใครที่เจอปัญหาแบบนี้ก็ลองถามตัวเองก่อนว่า ตัวเองเคยไม่ให้ความสำคัญคนอื่นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามบ้างหรือไม่ ?
หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ด้วยหลักการและเหตุผลแล้วก็จะพบว่า คนทุกคนมีสิทธิ์มองไม่เห็นความสำคัญของผู้อื่นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามกันทั้งนั้น
บางครั้งงานของเรายุ่งมาก จิตใจมุ่งแต่งานจนลืมมองความสำคัญของคนอื่น
บางครั้งเรามุ่งแต่ความสำเร็จ มุ่งแต่ทีมงานที่สำคัญ หรือมุ่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะที่ทำให้เราลืมงานอื่น ลืมคนอื่น หรือลืมทีมงานอื่นที่รอคอย ณ ขณะนั้นลงไป
ด้วยความเป็นธรรม ด้วยหลักการ และด้วยเหตุผลแล้ว การมองไม่เห็นหรือการไม่ให้ความสำคัญผู้อื่นอย่างตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตามถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับใครและเมื่อไหร่ก็ได้จริง ๆ
ดังนั้น การที่คนอื่นมองเราไม่สำคัญ หรือมองไม่เห็นความสำคัญของเราไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ก็ตามจึงเป็นเรื่องปกติ
แต่เรื่องที่ผิดปกติมากที่สุด สำคัญมากที่สุดและใหญ่มากที่สุดคือ ‘ความสำคัญของตนเอง’
เมื่อใดเรามองไม่เห็นความสำคัญของตนเอง เมื่อนั้นความเจริญก้าวหน้าและอนาคตของเราก็หมดสิ้นทันที ทุกอย่างจะพังทลายลงด้วยตัวเราที่มองไม่เห็นถึงความสำคัญของตนเอง
มดตัวเล็ก ๆ ทุกตัวสามารถแบกสิ่งของเล็ก ๆ รวมกันสร้างเป็นรังได้ มดจึงมีคุณค่าของมด
ทรายเม็ดเล็ก ๆ ทุกเม็ด ไม่ว่าสีดำหรือสีขาว สามารถนำมารวมกันสร้างตึกใหญ่โตสูงเสียดฟ้าได้ ทรายก็มีคุณค่าของทราย
คนทุกคนไม่ว่าจะมีการศึกษาอย่างไร ไม่ว่าจะสูงต่ำ ดำขาว โง่ หรือฉลาดเพียงใด คนย่อมมีคุณค่าของแต่ละคน คนทุกคนย่อมมีคุณค่าและภาพลักษณ์ที่แตกต่างกัน
เราอาจมองคุณค่าคนอื่นไม่ออก แต่เราต้องมองคุณค่าของเราออกอย่างแน่นอน
ในสังคมที่อยู่นั้น เราเป็นมดเล็กแค่ไหน เราเป็นทรายสีอะไร มดและทรายอย่างเรามีความสามารถอะไร เรามีคุณค่ามากน้อยเพียงใด เรามีภาพลักษณ์ที่ดีแบบไหน ?
คุณค่าคือ ประโยชน์ที่เราสร้างให้คนอื่นได้ ภาพลักษณ์คือ ภาพที่เราแสดงให้คนอื่นเห็น
เมื่อเรามองคุณค่าและภาพลักษณ์ของตัวเองที่มีต่อสังคมนั้นออกได้ เราก็ควรแสดงคุณค่าและภาพลักษณ์ที่ดีนั้นออกมาได้ ทำมันทุกวัน แสดงมันทุกวัน ทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องใส่ใจคนอื่น
หากคุณค่าและภาพลักษณ์ที่ดีนั้นเป็นจริง คนอื่นย่อมได้ประโยชน์ คนอื่นย่อมมองเห็น แค่นี้ความสำคัญของเราก็เกิดขึ้นเอง
หากมองตนเองแล้วไม่เห็นคุณค่า และไม่เห็นภาพลักษณ์ที่ดีจริง ๆ ก็สร้างมันขึ้นมา
เราต้องการมีคุณค่าแบบไหน ต้องการมีภาพลักษณ์ที่ดีอย่างไรก็สร้างมันขึ้นมา สร้างวันนี้ สร้างเดี๋ยวนี้ สร้างแล้วก็แสดงมันออกมา ทำทุกวัน ทำบ่อย ๆ ความสำคัญของเราก็เกิดขึ้นเอง
แต่อย่าเผลอไปสร้างคุณค่าและภาพลักษณ์ในทางผิด ๆ เช่น ชอบมาสาย ไม่รายงาน เอาเปรียบสังคม ชอบปกปิด ขี้อิจฉา ไม่ซื่อสัตย์ ไม่คิดก่อนพูด ชอบแชร์ข่าวเท็จ ภาพตกแต่ง หรือข่าวและภาพที่สร้างความเสียหายต่อคนอื่นและสังคมโดยไม่คิด เป็นต้น
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการด้อยค่าตนเอง และไม่ให้ความสำคัญต่อตนเอง
ทุกวันนี้สื่อโซเซียลเร็วมาก อะไรดีหรือไม่ดีก็เห็นได้ง่าย ใครได้ข่าว ได้ภาพอะไรมา ให้รอไม่เกิน 24 ชั่วโมง ข่าวและภาพอีกด้านก็จะออกมา ความจริงอีกด้านก็จะถูกเปิดเผย
เจ้านาย ผู้จัดการ หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน พ่อ แม่ หรือแม้แต่คนในครอบครัวไม่ให้ความสำคัญต่อเราจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญและใหญ่โตใด ๆ
สิ่งสำคัญคือ การหา และการสร้างคุณค่าและภาพลักษณ์ที่ดีของเราให้ได้ แสดงมันออกมาทุกวัน แค่นี้ความสำคัญของเราก็จะเกิดและสร้างได้ด้วยตัวของเรา
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
CEO – SNP Group
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/
Date Published : January 11, 2022
Logistics
“ทุเรียนไทย” ประเดิมใช้รถไฟบุกตลาดจีน หลัง RCEP มีผลบังคับใช้เป็นทางการ
หลังจากเจรจากันมายาวนานเกือบ 10 ปี ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 โดยภาคส่วนต่างๆ ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อหลายสำนักมีความตื่นตัวกับการบรรลุความตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง RCEP อยู่มากพอสมควร
ทำไมถึงกล่าวว่า RCEP เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นเพราะว่า 15 ชาติสมาชิกในกรอบ RCEP คือ กลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีประชากรรวมกันถึง 30.2% ของประชากรโลก (ราว 2,300 ล้านคน) มูลค่า GDP กว่า 1 ใน 3 ของ GDP โลก (28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมูลค่าการค้ารวม 30.3% ของมูลค่าการค้าของโลก (10.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ไฮไลท์สำคัญของความตกลง RCEP นอกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีระหว่างชาติสมาชิกแล้ว (สมาชิก RCEP ยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าไทย จำนวน 39,366 รายการ โดยลดภาษีเหลือ 0% ทันที จำนวน 29,891 รายการ) ก็คือ การอำนวยความสะดวกทางการค้าแก่ชาติสมาชิก โดยเฉพาะสินค้าที่เน่าเสียง่ายจะได้รับการตรวจปล่อยพิธีการศุลกากรภายใน 6 ชั่วโมง และสินค้าปกติภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า ผลไม้ไทยจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากความตกลงดังกล่าว
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 ขบวนรถไฟขนส่งสินค้า ขบวนที่ 24508 ที่ลำเลียง “ทุเรียนไทย” จำนวน 17 ตู้ รวมน้ำหนัก 288 ตัน มูลค่า 11 ล้านหยวน ได้ผ่านเข้าสู่ “ด่านรถไฟผิงเสียง” นับเป็นขบวนรถไฟขนส่งผลไม้จากอาเซียนขบวนแรกที่เข้าสู่ด่านรถไฟผิงเสียงหลังจากที่ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
“ด่านรถไฟผิงเสียง” ตั้งอยู่ในอำเภอระดับเมืองผิงเสียงของเมืองฉงจั่ว ห่างจากด่านทางบกโหย่วอี้กวานราว 14 กิโลเมตร เป็นด่านนำเข้าผลไม้ทางรถไฟแห่งแรกของประเทศจีน และเป็นทางเลือก(ไม่)ใหม่ที่ฉีกกฎการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนแบบเดิมๆ ที่เคยใช้ทางรถบรรทุก ทางเรือ และทางเครื่องบินเท่านั้น โดยผลไม้ไทยใช้ประโยชน์จากด่านรถไฟแห่งนี้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 และจากสถิติปี 2564 ขบวนรถไฟจีน(กว่างซี)-เวียดนาม วิ่งให้บริการรวม 346 เที่ยว เพิ่มขึ้น 108.4% ในจำนวนนี้ เป็นการขนส่งผลไม้ 19,400 ตัน เพิ่มขึ้น 14.66%
ที่ผ่านมา ด่านรถไฟผิงเสียงมีการพัฒนาระบบบโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในกระบวนการทางศุลกากรให้มีประสิทธิภาพความพร้อมรองรับการนำเข้า-ส่งออกอยู่อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การติดตั้งระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอ็กซเรย์แบบขับผ่าน (Fast Scan) ที่มีชื่อเรียกว่า H986 เมื่อรถไฟวิ่งผ่านเครื่องดังกล่าวจะทำการเอ็กซเรย์สแกนภาพสินค้าภายในตู้สินค้าได้อย่างชัดเจน ช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบสินค้าเหลือเพียง 1 นาที จากเดิมที่ต้องใช้วิธีเปิดตู้ตรวจสินค้าด้วยแรงงานคน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ช่วยลดความเสียหายของผลไม้จากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตู้สินค้าและการรื้อตู้สินค้า ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และช่วยให้ผลไม้คงความสดใหม่ไว้ได้นาน
โอกาสของผู้ส่งออกผลไม้ไทย ด่านรถไฟผิงเสียงเป็นอีกหนึ่ง “ทางเลือก” ในการระบายผลไม้ไทย โดยเฉพาะช่วงที่ผลไม้ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการที่รถบรรทุกต้องรอคิวที่ด่านโหย่วอี้กวาน พูดง่ายๆ คือ ไม่ต้องรอคิวนานแถมยังขนตู้สินค้าได้ครั้งละมากๆ แม้ว่าโมเดล “รถ+ราง” จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารถบรรทุกเล็กน้อย แต่คุ้มค่ากับการควักกระเป๋าจ่ายเพื่อซื้อเวลา
ทั้งนี้ ผู้ส่งออกผลไม้ไทยสามารถใช้รถบรรทุกสินค้าลำเลียงสินค้าออกจากภาคอีสานทางถนน R8 (หนองคาย) R9 (มุกดาหาร) และ R12 (นครพนม) ผ่าน สปป. ลาว เข้าสู่เวียดนาม ผ่านกรุงฮานอย มุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟด่งดัง (Dong Dang) จังหวัดลางเซิน เพื่อลำเลียงตู้สินค้าขึ้นขบวนรถไฟ ก่อนเข้าไปที่ด่านรถไฟผิงเสียงของกว่างซีด้วยระยะทางเพียง 17 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่งเพียง 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ สำหรับสินค้าทั่วไปสามารถลำเลียงตู้สินค้าขึ้นขบวนรถไฟที่สถานีรถไฟ Yên Viên ในกรุงฮานอย
หลังจากตู้สินค้าลำเลียงเข้ามาถึงด่านรถไฟผิงเสียงเพื่อผ่านพิธีการศุลกากรแล้ว ก็สามารถใช้โครงข่ายทางรถไฟของจีนลำเลียงผลไม้ไปยังหัวเมืองสำคัญทั่วจีน ซึ่งมีอยู่หลายเส้นทาง อาทิ นครเซี่ยงไฮ้ใช้เวลา 45 ชั่วโมง กรุงปักกิ่งใช้เวลา 70 ชั่วโมง หรือจะส่งไปไกลถึงเอเชียกลางและยุโรปผ่าน China-Europe Railway Express ใช้เวลา 7-10 วัน (ทางเรือใช้เวลา 1 เดือน)
แล้วจะเลือกขนส่งสินค้าต่ออย่างไร…รถไฟมีความได้เปรียบในการขนส่งระยะทางไกล จึงเหมาะกับการกระจายสินค้าไปที่หัวเมืองภาคตะวันออก/ภาคเหนือ หากเป็นการขนส่งระยะสั้น ควรใช้การขนส่งทางรถบรรทุก เช่น หากส่งผลไม้ไปยังนครกว่างโจวของมณฑลกวางตุ้ง รถบรรทุกใช้เวลาเพียง 1-2 วัน จึงประหยัดเวลาได้มากกว่าทางรถไฟที่อาจต้องใช้เวลานานถึง 4 วัน
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางรถบรรทุกแล้ว การขนส่งทางรถไฟมีข้อได้เปรียบด้านศักยภาพการขนส่ง ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและแรงงานคนขับ กอปรกับในช่วงที่หน่วยงานบริหารจัดการด่านของจีนมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบริเวณชายแดนอย่างเข้มงวด การขนส่งทางรถไฟจะช่วยลดความเสี่ยงจากคนขับที่หมุนเวียนเข้า-ออกด่านได้อย่างมาก และมีข้อได้เปรียบในกระบวนการผ่านพิธีการศุลกากรแบบไร้เอกสาร (e-Paperless) ที่มีความรวดเร็ว การเลี่ยงความเสียหายจากการจราจรที่แออัดของรถบรรทุกบริเวณด่านทางบก รวมถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าในการกระจายสินค้าในระยะไกล
ทั้งนี้ บริการการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางรถไฟ (กรุงฮานอย+นครหนานหนิง) ไม่ได้จำกัดเฉพาะสินค้าผลไม้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าเทกอง (Bulk) สินแร่ ไม้ซุง และเหล็กกล้า อุปกรณ์เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของใช้ในชีวิตประจำวัน และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแช่แข็งด้วย
บีไอซี ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ด่านรถไฟผิงเสียงช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ส่งออกไทยในการระบายผลไม้ไทยไปจีนและช่วยลดอุปสรรคการขนส่งผลไม้ไทยไปจีนได้มากขึ้น ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเที่ยวรถไฟเวียดนาม-จีนในการลำเลียงสินค้าเข้าสู่ตลาดทั่วประเทศจีน โดยเฉพาะในช่วงที่มีผลไม้ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดจากการที่รถบรรทุกต้องรอคิวที่ด่านทางบกโหย่วอี้กวาน โดยผู้ส่งออกสามารถเลือกใช้การขนส่งทางรถไฟเพื่อผ่านพิธีการศุลกากรที่ด่านรถไฟผิงเสียง แล้วเปลี่ยน(ยกตู้)ไปใช้รถบรรทุกเพื่อกระจายไปยังหัวเมืองอื่นทั่วจีนได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ในการใช้ประโยชน์จากด่านรถไฟผิงเสียง ผู้ส่งออกยังต้องพิจารณาเรื่อง “ตลาดปลายทาง” ด้วย เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากด่านเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด รวมทั้งผู้ส่งออกต้องตระหนักถึงปัญหาโรคแมลงศัตรูพืชการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ในผลไม้ที่ส่งออกไปจีน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีการสุ่มตรวจผลไม้อย่างเข้มงวด ผู้ส่งออกจึงจำเป็นต้องรักษาคุณภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อของ FAO และ WHO อย่างเคร่งครัดด้วยเพื่อส่งออกได้อย่างราบรื่นไปจนถึงตลาดปลายทาง
ที่มา : https://thaibizchina.com
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!