CEO ARTICLE
“ปลาปีนต้นไม้”
อะไรจะเกิดขึ้น ???
หากจะตัดสินความสามารถของปลาด้วยการให้ปลาปีนขึ้นต้นไม้
ปลาอาจใช้ทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ แล้วคนที่พบเห็นก็อาจกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันช่างโง่เขลาสิ้นดี”
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ???
หากจะตัดสินความสามารถของเด็กทุก ๆ คนด้วยระบบการศึกษาที่ให้เด็กเข้าโรงเรียนด้วยวิชาบังคับเหมือน ๆ กัน และเรียนวันละ 8 ชั่วโมงในห้องเรียนเดียวกัน
เพียงคำถามนี้ ระบบการศึกษาเกือบทั่วโลกที่แต่ละประเทศเคยใช้กันอยู่มาช้านานก็อาจตกเป็นจำเลยอย่างไม่รู้ตัว
ระบบการศึกษาที่ใช้มานานในวันนี้กลายเป็นประเด็นถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปรากฏคลิปส่งต่อ ๆ กันในโลกโซเชียลด้วยคำถามข้างต้น
คลิปเริ่มจากชายผู้หนึ่งทำหน้าที่ทนายความยื่นฟ้องระบบการศึกษาต่อศาล จากนั้นเขาก็ให้ข้อมูลต่อผู้รับฟัง (https://m.youtube.com/watch?v=2pDyxVsN490) ที่พอสรุปเป็นข้อ ๆ ได้ ดังนี้
- เด็กทุกคนเป็นอัจฉริยะ แต่โรงเรียนกำลังเปลี่ยนเด็กล้าน ๆ คนให้กลายเป็นหุ่นยนต์ด้วยการเรียนอย่างหนักในห้องเรียน เด็กย่อมไม่พบพรสวรรค์ของตนเอง แล้วระบบนี้ทำให้เด็กคิดว่าตัวเองโง่และไร้ค่า
- โรงเรียนเป็นฆาตกรฆ่าความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เมื่อเปรียบเทียบกับโทรศัพท์และรถยนต์ที่ใช้สมัยนี้ มันต่างจาก 150 ปี ก่อน แต่ห้องเรียนสมัยนี้กลับมีเด็กนั่งเรียนในชั้นที่ไม่ต่างไปจากห้องเรียนเมื่อ 150 ปี ก่อน
- เด็กสมัยนี้ไม่ได้ถูกเตรียมเพื่ออนาคต แต่เด็กถูกฝึกให้ทำงานในโรงงาน เด็กถูกบังคับให้นั่งเป็นแถวอย่างเรียบร้อย หากเด็กอยากพูดก็ต้องยกมือก่อน แล้วเด็กยังต้องใช้เวลา 8 ชั่วโมงต่อวันในโรงเรียนเพื่อแข่งขันให้ได้เกรด A
- นักวิทยาศาสตร์ทุกคนบอกว่า ไม่มีสมองคู่ไหนที่เหมือนกัน แต่ระบบการศึกษาทำกับนักเรียนเหมือนแม่พิมพ์ขนม สอนสิ่งห่วย ๆ ให้ทุกคนแบบเดียวกันในโรงเรียน
- ขณะที่ในโรงเรียนครู 1 คน ต้องสอนเด็ก 20 คน ทั้ง ๆ ที่เด็กแต่ละคนมีจุดแข็ง มีความต้องการ มีพรสวรรค์ และมีความฝัน “ต่างกัน” แต่กลับถูกสอนในสิ่งเหมือน ๆ กัน
- ครูเป็นอาชีพที่สำคัญที่สุดในโลกแต่กลับมีรายได้แค่พอกินทั้ง ๆ ที่ครูเข้าถึงหัวใจเด็กไม่ต่างจากหมอที่เข้าถึงหัวใจเด็กด้วยการผ่าตัดหัวใจช่วยชีวิตเด็ก ครูจึงควรมีรายได้เท่ากับหมอ
- หลักสูตรการศึกษาถูกออกแบบมาจากคนในกระทรวงที่ไม่เคยสอนใครเลยในชีวิต คนที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการสอบวัดผล
- ถ้าแผนสุขภาพ รถยนต์ และรูปบน Facebook สามารถปรับแต่งได้ ระบบการศึกษาก็ต้องปรับแต่งได้ในแบบที่โรงเรียนต้องการเพื่อดึงจิตวิญญาณจากนักเรียนแต่ละคนออกมา
- ระบบการศึกษาต้องเข้าให้ถึงหัวใจของเด็กทุกคน วิชาเลขสำคัญแต่ก็ไม่ได้สำคัญกว่าวิชาศิลปะหรือการเต้น ระบบการศึกษาต้องทำให้ทุก ๆ พรสวรรค์มีโอกาสเท่าเทียมกัน
- ระบบการศึกษาใหม่ควรให้มีชั่วโมงเรียนน้อยลง ครูมีรายได้มากขึ้น เด็กไม่มีการบ้าน แต่มีความฝันที่ควรให้รับการส่งเสริมเหมือนปลาที่ไม่ต้องบังคับให้ปีนต้นไม้
นี่คือข้อสรุปโดยประมาณ 10 ประการที่ได้จากคลิปนี้
ในตอนท้าย ผู้ทำหน้าที่ทนายก็บอกชื่อของเขาคือ PrinceEA และเชิญชวนให้ผู้ชมเข้าไปที่ neste.com/preorderthefuture เพื่อร่วมแบ่งปันความคิดเห็น
คลิปดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจและถูกส่งต่อ ๆ กันมาก
ผู้ชมบางท่านมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับการนำเสนอในคลิป การปฏิรูประบบการศึกษาเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ขณะที่บางท่านก็อาจเห็นต่าง
ระบบการศึกษาที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลางเป็นแนวคิดของหลายประเทศ
การให้อิสระเด็กในการเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ ไม่มีวิชาบังคับ ไม่มีชั้นเรียน และยกเลิกกรอบทุกประเภทที่ใช้ครอบเด็กออกไปเป็นแนวคิดทีอยู่ในข้อถกเถียงกันมานาน
ประเทศแต่ละประเทศย่อมมีระดับพื้นฐานทางสังคมแตกต่างกัน
หากประเทศหนึ่งมีระดับพื้นฐานทางสังคมเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กก็ย่อมมีระดับความคิดคล้ายคลึงกัน ในทิศทางเดียวกัน
มันอาจมีคนกลุ่มน้อยที่คิดแตกต่างแต่ก็เป็นคนกลุ่มน้อยจริง ๆ
ระบบการศึกษาที่เปิดแบบสุด ๆ ตามคลิปที่เสนอย่อมทำให้เด็กมีอิสรภาพในการค้นคว้า ไม่มีกรอบมาครอบความคิด ไม่กลายเป็นปลาที่ถูกบังคับให้ปีนต้นไม้
แบบนี้ทั้งตัวเด็กและประเทศก็คงได้รับประโยชน์จากระบบการศึกษาตามคลิป
ตรงกันข้าม หากประเทศหนึ่งมีระดับพื้นฐานทางสังคมต่างกันมาก เด็กในเมืองกับเด็กในชนบทมีแนวคิดต่อระบบการศึกษาต่างกัน หากรวมเด็กด้อยโอกาสเข้าไปด้วย ระดับพื้นฐานทางสังคมก็จะยิ่งแตกต่างเข้าไปอีก
ความแตกต่างที่มีมาก ๆ นี้ หากนำระบบการศึกษาเปิดแบบสุด ๆ ไม่มีชั้นเรียน ไม่มีวิชาบังคับ และยกเลิกกรอบออกไป อะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนบ้าง ???
มันอยู่ที่ระดับพื้นฐานทางสังคมของแต่ละประเทศ
ประเทศที่มีระดับต่างกันมาก เด็กก็ย่อมมีความคิดต่างกัน การเลือกเรียน การตัดสินใจจะปีนต้นไม้หรือไม่ หรือเรื่องอื่น ๆ ก็ต่างกัน
การลอกเรียนแบบพฤติกรรมในหมู่เด็กก็จะต่างกันและจะเกิดขึ้นได้ง่าย
ใครจะยืนยันได้ว่า เด็กที่มีพฤติกรรมดีจะขึ้นมาเป็นต้นแบบทางสังคมแล้วดึงเด็กกลุ่มอื่น ๆ ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมด้านใดก็ตามให้กลายเป็นพฤติกรรมดีและเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบและให้ผลดีตามไปด้วย
ตรงกันข้าม เด็กที่มีพฤติกรรมไม่ดีในสังคมที่มีระดับพื้นฐานต่างกันมากก็อาจเป็นต้นแบบให้เด็กที่ดีกลับกลายเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีตามไปด้วยเช่นกัน
สำหรับประเทศไทย
ใคร ๆ ก็รู้ว่า ระดับพื้นฐานทางสังคมทั่วประเทศต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นสังคมในเมืองด้วยกันเอง หรือสังคมต่างจังหวัด
ระดับพื้นฐานที่ต่างกันมากนี้ ใครว่ามันเหมาะกับระบบการศึกษาแบบเปิดสุด ๆ ตามคลิปบ้าง ???
คลิปอาจดูดี อาจมีประโยชน์ และอาจกระตุ้นระบบการศึกษาในประเทศที่มีระดับพื้นฐานทางสังคมใกล้เคียงกัน แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ประเทศไทย
วันนี้ ประเทศไทย
เรายังวนเวียนอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อสังคมอย่างกว้างขวาง การดิ้นรนเพื่อให้ตนเองกินอิ่มยังเป็นปัญหาหลักของประเทศ
หากประเทศไทยยังไม่สามารถก้าวข้ามพ้นปัญหาเศรษฐกิจนี้ไปได้ การใช้ระบบการศึกษาแบบเปิด ๆ ให้กับเด็กกลุ่มที่พร้อมก็ไม่ได้เสียหายอะไร
ตรงกันข้ามกับเด็กกลุ่มที่ไม่พร้อมละ
ระบบการศึกษาดั้งเดิม การมีวิชาบังคับ การยกมือขออนุญาตก่อนพูด หรือการนำกล่องมาครอบให้เด็กกลุ่มที่ยังไม่พร้อมก็น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
วันนี้ ประเทศไทยไม่สามารถทิ้งระบบการศึกษาแบบเก่าได้ และก็ไม่สามารถปฏิเสธระบบการศึกษาแบบใหม่ได้เช่นกัน
อย่างไรปลาก็ปีนต้นไม้ไม่ได้ แต่เด็กนอกจากจะว่ายน้ำได้ เด็กยังปีนต้นไม้ได้อีกด้วย
ในความเห็นส่วนตัวของผม คลิปดังกล่าวให้ประโยชน์และแสดงแนวคิดวิธีการของเขาได้ แต่หากจะนำมาใช้กับประเทศไทย ความพร้อมของเด็กยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญสุด
วันหนึ่งในอนาคต
ในวันที่เด็กไทยปรับระดับพื้นฐานจนพร้อมแล้ว วันนั้นเด็กไทยนอกจากจะว่ายน้ำได้ จะปีนต้นไม้ได้แล้ว เด็กไทยย่อมจะไต่ขึ้นสู่อวกาศได้อีกด้วย
สิทธิชัย ชวรางกูร
Credit Photo : http://picpost.postjung.com/144039.html
The Logistics
Packing Declarations มาทำความรู้จักกัน ก่อนส่งออกสินค้าไปออสเตรเลีย
ผู้ประกอบการที่มีการส่งออกสินค้าไปประเทศออสเตรเลียเป็นประจำ คงรู้จักมักจี่กับเอกสารอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Packing Declarations อยู่แล้ว แต่ก็คงมีอีกหลายท่านที่เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อนี้ เพราะที่ผ่านมาอาจจะรู้จักแค่ Packing list ขอบอกก่อนนะคะว่า มันเป็นเอกสารคนละตัวกัน หากเป็น shipment ส่งออกทั่วไปผู้ส่งออกมีหน้าที่จัดเตรียม Commercial Invoice & packing list ก็อาจจะเพียงพอ แต่ถ้าหากส่งออกสินค้าไปประเทศออสเตรเลีย ผู้ส่งออกจำเป็นต้องเตรียม Packing Declarations ด้วย
Packing Declarations เป็นเอกสาร/หนังสือรับรองที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บรรจุภัณฑ์ที่จะส่งสินค้าไปยังประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากภูมิประเทศของออสเตรเลียมีลักษณะเป็นเกาะจึงสามารถเกิดการแพร่ระบาดของโรคต่างๆได้ง่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบกว้างขวาง รวดเร็ว และป้องกันได้ยาก ดังนั้นประเทศออสเตรเลียจึงมีการกำหนดเงื่อนไขด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์สำหรับการนำเข้าสูงมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีการบังคับใช้มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด ตัวอย่างเช่น การนำเข้าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไม้ จะต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ISPM 15 (International Standard for Phytosanitary Measures No.15) และปราศจากตาไม้ (Bark free timber) ซึ่งบรรจุภัณฑ์/หีบห่อที่ทำจากไม้ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานนี้ จะต้องมี Stamp ตรามาตรฐาน ISPM 15 อยู่ข้างบรรจุภัณฑ์ด้วย โดยใน Packing Declarations จะต้องระบุข้อความ “All the wood packaging/dunnage used in the consignment is marked with ISPM 15 compliant stamps.” และนอกจาก Packing Declarations แล้ว ผู้ประกอบการควรจะขอใบรับรองการทำ Treatment จากตัวแทน/ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไม้ด้วย เพื่อนำไปประกอบกับเอกสารการส่งออกอื่นๆ
ตัวอย่างแบบฟอร์ม Packing Declarations ตามภาพด้านล่าง
สุวิตรี ศรีมงคลวิศิษฏ์