CEO ARTICLE

CY/CFS

Published on December 10, 2024


Follow Us :

    

CY และ CFS ที่ปรากฎในใบตราส่งมีความสำคัญอย่างไร ?

หากสังเกตุใบตราส่ง หรือ B/L (Bill of Lading) ให้ดีจะพบว่า การขนส่งด้วยระบบตู้สินค้า (Container) จะมีคำว่า CY หรือ CFS คำใดคำหนึ่ง หรือทั้ง 2 คำปรากฎอยู่เสมอ
CY และ CFS มีความหมายต่างกัน ดังนี้
1. CY มาจากคำว่า Container Yard หมายถึง สถานที่เก็บตู้สินค้า (Yard) ของผู้ขนส่ง หรือการลากตู้ หากสินค้ามีสถานะ (Status) CY ก็หมายถึง สินค้าที่อยู่ในตู้จะใช้การลากตู้เป็นหลัก
ความหมายคือ หากเป็นการส่งออกแบบ C/Y ตู้สินค้าเปล่าจะถูกลากจากสถานที่เก็บตู้ไปบรรจุสินค้าเข้าตู้ ณ โรงงาน หรือ ณ สถานที่ของผู้ส่งออกโดยผู้ส่งออกเป็นผู้จ่ายค่าลากตู้ และต้องนำตู้ที่บรรจุสินค้าเสร็จแล้วมาส่งคืนเพื่อเตรียมการส่งออก
แต่หากเป็นการนำเข้า ตู้ที่มีสินค้าอยู่ในตู้ และมีสถานะ C/Y จะถูกลากจากท่าเรือไปส่งยังสถานที่ของผู้นำเข้าเพื่อขนย้ายสินค้าออกจากตู้โดยผู้นำเข้าเป็นผู้จ่ายค่าลากตู้ และต้องนำตู้เปล่ามาส่งคืน ณ สถานที่ และภายในเวลาที่กำหนด
ค่าใช้จ่ายในการลากตู้ หรือ CY Charge จึงเป็นค่าใช้จ่ายของผู้ส่งออกและผู้นำเข้า
2. CFS มาจากคำว่า Container Freight Station หมายถึง สถานีขนถ่ายสินค้า
หากสินค้าส่งออกได้รับสถานะ (Status) CFS หมายถึง ผู้ส่งออกต้องนำสินค้ามาบรรจุเข้าตู้ ณ สถานีขนถ่ายสินค้าท่าส่งออก ท่านำเข้า (Freight Station) หรือท่าเรือบก หรือ ICD (Inland Container Depot) ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นสถานีขนถ่ายสินค้า
แต่หากเป็นการนำเข้าที่ตู้สินค้าอยู่ในสถานะ CFS จะหมายถึง ผู้นำเข้าต้องขนถ่ายสินค้าออกจากตู้ ณ สถานีขนถ่ายสินค้าเพื่อนำขึ้นรถบรรทุกไปส่ง ณ สถานที่ผู้นำเข้า
ค่าใช้จ่ายในการบรรจุสินค้าเข้าตู้ หรือนำออกจากตู้เป็นของผู้ส่งออกและผู้นำเข้า
CY และ CFS ให้ความหมายสำคัญที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น สินค้านำเข้ามีสถานะ (Status) Osaka CY/Bangkok CFS หมายถึง ตู้ถูกลากไปบรรจุสินค้าที่เมือง Osaka เมื่อถึงท่าเรือกรุงเทพฯ ผู้นำเข้าต้องขนถ่ายสินค้าออกจากตู้เพื่อนำขึ้นรถบรรทุกไปยังสถานที่ของผู้นำเข้า เป็นต้น

ใบตราส่งที่ปรากฎคำว่า CY และ CFS จึงเป็นข้อบังคับให้ผู้ส่งออก และผู้นำเข้า
หากเป็นการส่งออก ผู้ส่งออกอาจไม่ใส่ใจได้เพราะเป็นผู้กำหนดสถานะให้แก่ตู้สินค้าขณะทำการจองตู้ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าต่างประเทศอยู่แล้ว
แต่หากเป็นการนำเข้าโดยผู้นำเข้าไม่ทราบสถานะก็อาจพบรายจ่ายเพิ่มในภายหลัง
ตัวอย่างเช่น ใบตราส่งสินค้าขาเข้าระบุสถานะ (Status) Osaka CY/Bangkok CFS ตามตัวอย่างเดิม แต่ผู้นำเข้าประสงค์จะลากตู้เพื่อนำสินค้าไปขนถ่าย ณ สถานที่ของผู้นำเข้าเองทั้ง ๆ ที่สถานะของตู้ที่มาถึงกรุงเทพฯ เป็น CFS
ผู้นำเข้าจึงไม่มีสิทธิ์ลากตู้โดยต้องขนถ่ายสินค้าที่ท่านำเข้าเพื่อนำขึ้นรถบรรทุก
แต่หากผู้นำเข้ายืนยันจะลากตู้ ผู้นำเข้าก็ต้องแจ้งผู้ขนส่งให้เปลี่ยนสถานะจาก Bangkok CFS มาเป็น Bangkok CY ก็ต้องเสียเวลา และเสียค่าเปลี่ยนสถานะตามที่ผู้ขนส่งจะเรียกเก็บ
แม้ค่าเปลี่ยนสถานะ (Status Amendment) จะไม่ใช่ค่าความผันผวน และค่าวิกฤติต่าง ๆ ที่เป็น “อุปกรณ์แห่งค่าระวาง” ซึ่งผู้ขนส่งสามารถเรียกเก็บตาม พรบ. การรับขนส่งทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 3 วรรค 9 ก็ตาม แต่ผู้ขนส่งก็มักเรียกเก็บ และมักสร้างความวุ่นวายให้ผู้นำเข้า
ผู้นำเข้าที่ไม่ต้องการวุ่นวายกับการเปลี่ยนสถานะดังกล่าว จึงควรแจ้งผู้ขายต่างประเทศให้ระบุสถานะเป็น Bangkok CY หรือ CFS ตั้งแต่การสั่งซื้อ หรือขณะเปิด L/C
ในทำนองเดียวกัน ผู้ส่งออกก็ควรสอบถามลูกค้าต่างประเทศต้องการสถานะตู้สินค้าเป็น CY หรือ CFS และทำการจองตู้สินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเช่นกัน
CY และ CFS จึงมีความสำคัญที่ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าควรตรวจสอบในใบตราส่งทุกครั้ง.

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
for Home and Health,
please visit https://www.inno-home.com

อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/

Date Published : December 10, 2024

Dr. Sitthichai  Chawaranggoon
Dr. Sitthichai ChawaranggoonChief Executive Officer (CEO) - SNP GROUP

Logistics

การประท้วงนัดหยุดงานที่ท่าเรือในแคนาดาเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแคนาดา

เศรษฐกิจแคนาดาประสบกับปัญหาโลจิสติกส์ภายในประเทศครั้งใหม่ เนื่องจากการประท้วงนัดหยุดงานที่ท่าเรือมอนทรีออล (Montreal Port) ซึ่งเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าใหญ่อันดับ 3 ของแคนาดา โดยมีการประเมินว่าการประท้วงหยุดงานจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแคนาดาสูงถึงประมาณ 76 ล้านเหรียญแคนาดาต่อวัน (หรือประมาณ 1,976 ล้านบาท) ตามการวิเคราะห์ของบริษัทข้อมูลและการวิเคราะห์ Russell Group
การประท้วงเริ่มครั้งแรกระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 3 ตุลาคม 2567 โดยสหภาพแรงงานท่าเรือ MEA (Maritime Employee Association) ประกาศหยุดงาน 3 วันที่ท่าเรือ Viau และ Maisonneuve (ท่าเรือย่อยของ Port of Montreal) และต่อมามีการเจรจาต่อรองค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยสถานการณ์ล่าสุดการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปได้ สหภาพแรงงานปฎิเสธข้อเสนอค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการเริ่มการประท้วงหยุดงานครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 แบบไม่มีกำหนด ซึ่งท่าทีล่าสุดของสหภาพแรงงานคือต้องการเรียกร้องขึ้นค่าจ้างร้อยละ 20 ภายใน 4 ปี ให้เทียบเท่ากับระดับค่าแรงที่ท่าเรือแวนคูเวอร์และฮาลิแฟกซ์ ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของแคนาดา ตามลำดับ

ผลกระทบของการประท้วงครั้งนี้ ส่งผลกระทบถึงร้อยละ 40 ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือมอนทรีออล สินค้าที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ อาหาร ผลิตภัณฑ์ยาที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ และทำให้เกิดการล่าช้าของการขนถ่ายทั้งสินค้าส่งออกและนำเข้า ทำให้บริษัทขนส่งต้องพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรืออื่น อาทิ ท่าเรือฮาลิแฟกซ์หรือเซนต์จอห์น
นอกจากท่าเรือที่มอนทรีออลแล้ว สหภาพแรงงานที่ท่าเรือบริติชโคลัมเบีย ได้เริ่มการประท้วงหยุดงาน ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เพื่อเรียกร้องสิทธิและค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น โดยสถานการณ์ล่าสุดในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 Mr. Steve Mackinnon รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ Industrial Relations Board หรือ IRB เข้าแทรกแซงเพื่อยุติการประท้วง และอาจใช้กฎหมายบังคับสั่งให้แรงงานจากท่าเรือที่มีการประท้วง กลับมาดำเนินการและปฏิบัติหน้าที่ที่ท่าเรือตามปกติ รวมถึงการพิจารณาการใช้อนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพัน (Binding Arbitration) เพื่อยุติข้อพิพาท โดยมีการประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจจากการประท้วงที่ท่าเรือบริติชโคลัมเบีย มูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญแคนาดา (หรือประมาณ 33,800 ล้านบาท) และท่าทีของสหภาพแรงงานจะปฏิเสธกลับมาทำงานและจะต่อสู้กับคำสั่งในชั้นศาลต่อไป นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าการหยุดประท้วงในครั้งนี้มีทิศทางที่อาจไม่สามารถข้อยุติได้ในเร็ววัน ที่ภาครัฐอาจต้องพิจารณาเข้ามาแทรกแซงหรือเป็นตัวกลางในการเจรจาในขั้นต่อไป

ความเห็น สคต.
การประท้วงหยุดงานของสหภาพแรงงานที่ท่าเรือบริติชโคลัมเบีย และมอนทรีออลซึ่งเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของแคนาดา จะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมหากการประท้วงไม่สามารถยุติได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ เพราะสินค้าในตลาดจะเริ่มขาดแคลน กระทบทั้งการนำเข้า การส่งออก และอุตสาหกรรมภายในของแคนาดา โดยโครงสร้างเศรษฐกิจของแคนาดา
ภาคการส่งออกมีสัดส่วนของ GDP สูงถึงประมาณ 1 ใน 3 หรือคิดเป็นร้อยละ 33 จากข้อมูล World Bank ในปี 2566 ซึ่งหากสถานการณ์ประท้วงหยุดงานที่ท่าเรือกินเวลานาน มูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ GDP ในช่วงที่เหลือของปี 2567 ซึ่งรัฐบาลแคนาดาเริ่มกังวลถึงผลกระทบเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังมีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง โดยค่าครองชีพที่สูงจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการประท้วงในครั้งนี้
ปัจจุบัน การส่งออกส่วนใหญ่ของไทยมาแคนาดา จะผ่านท่าเรือแวนคูเวอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของท่าเรือบริติชโคลัมเบีย ที่ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันตกแคนาดาติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีสัดส่วนประมาณของมูลค่าสินค้าร้อยละ 70 ในขณะที่สินค้าจากไทยจะผ่านท่าเรือในฝั่งตะวันออกแคนาดา ร้อยละ 30 ผ่านน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติก (ท่าเรือฮาลิแฟกซ์และท่าเรือมอนทรีออล) ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกไทยมาแคนาดาล่าสุด มกราคม-กันยายน 2567 มูลค่า 1,548.40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 10.51 ซึ่ง สคต. มีความเห็นว่าภาครัฐแคนาดาจะพิจารณามาตรการเร่งด่วนเพื่อยุติการประท้วงครั้งนี้ เนื่องจากนอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแคนาดาในฐานะประเทศที่ให้ความสำคัญกับการค้าระหว่างประเทศและความมีเสถียรภาพของภาคโลจิสติกส์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแคนาดาเคยประสบปัญหาการหยุดงานของภาคขนส่งทางรถไฟเมื่อสิงหาคม 2567 ที่สุดท้ายภาครัฐต้องประกาศใช้กฎหมายบังคับให้สหภาพแรงงานรถไฟต้องกลับไปทำงาน การประท้วงปิดท่าเรือครั้งนี้ นับว่าเป็นความท้าทายครั้งใหม่กับภาครัฐแคนาดา ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ที่อาจส่งผลต่อการส่งออกสินค้าไทยมาแคนาดาได้ในระยะสั้น-กลาง

ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/189525

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.