CEO ARTICLE

Reciprocal Tariffs

Published on April 8, 2025


Follow Us :

    

สหรัฐใช้ Reciprocal Tariffs ไทยควรเดินอย่างไรกับเกมนี้ ?

Reciprocal = ทำให้สมดุล Tariffs = ภาษีศุลกากร
เมื่อรวมเป็น Reciprocal Tariffs จึงหมายถึง การทำอัตราภาษีให้สมดุล ประเทศใดเก็บภาษีสินค้าที่ไปจากสหรัฐมากกว่า สหรัฐก็จะเพิ่มภาษีสินค้าที่มาจากประเทศนั้นให้มากสมดุลกัน
สหรัฐอ้างความสมดุลเป็นเพียงทฤษฏี ความจริงสหรัฐมุ่งเพิ่มภาษีกับประเทศที่ขายสินค้ามากกว่าซื้อสินค้าจากสหรัฐโดยไม่ใส่ใจว่า อัตราภาษีของประเทศใดจะมากหรือน้อยอย่างไร
เศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำมานาน เมื่อเลือกทรัมป์เป็นผู้นำจึงมั่วใช้ Reciprocal Tariffs
ประเทศไทยขายไปสหรัฐมากกว่าซื้อจึงถูกมั่วเพิ่มภาษีมากถึง 37% หลายประเทศถูกเพิ่มมั่วทั้งมากกว่าและน้อยกว่าไทย ในข่าวมีถึง 60 ประเทศที่ต้องเดือดร้อนรวมถึงคนสหรัฐเอง
คนสหรัฐจะนำเข้าสินค้าน้อยลง ต้องผลิตสินค้าเพื่อกิน เพื่อใช้เอง หากผลิตได้ดีกว่า ได้ถูกกว่าก็ถือว่าโชคดี แต่แน่นอนทำไม่ได้ คนสหรัฐจึงต้องซื้อของแพงขึ้น และเดือดร้อนเป็นกลุ่มแรก
ทรัมป์ย่อมมองออก คนมีความรู้ก็มองออก และมองเลยว่า มันคือเกมที่ทรัมป์สร้างเพื่อดึงประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าให้มาเจรจาเพื่อง้อให้สหรัฐได้ประโยชน์มากขึ้น เกมนี้จึงน่าติดตาม
กลุ่มต่อมาคือ ประเทศผู้ส่งออก สหรัฐเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลก เกมนี้ทำให้ไทยขายสินค้าให้สหรัฐน้อยลง โรงงานไทยผลิตสินค้าน้อยลง คนงานได้ค่าจ้างและโอทีน้อยลง แม่ค้ารอบโรงงานขายของได้น้อยลง มีเงินน้อยลง คนขายของให้โรงงานขายได้น้อยลง คนไทยจะตกงานมากขึ้น
หากมอง 60 ประเทศ เศรษฐกิจโลกย่อมปั่นป่วน ตกต่ำ กระทบ Supply Chain ทั่วโลก
บางประเทศสู้สหรัฐโดยการขึ้นภาษีตอบโต้สินค้าที่ต้องซื้อจากสหรัฐ บางประเทศขอเจรจาจะซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น และบางประเทศจะลดภาษีสินค้าที่ซื้อจากสหรัฐให้ต่ำลงตามเกม
รัฐบาลไทยยังขยับช้า แต่ผู้ส่งออกไทยเดือดร้อน ยิ่งรัฐบาลมุ่งแจกเงินทั้งที่ประเทศไม่มีเงิน เศรษฐกิจทั่วประเทศจะยิ่งตกต่ำ ผู้ส่งออกและรัฐบาลจึงต้องปรับตัวพร้อมกันทันทีทั้ง 2 ด้าน
ด้านผู้ส่งออกปรับตัวได้ไม่มาก เช่น การหาตลาดใหม่แทนสหรัฐ แต่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำจึงทำได้ยาก การหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ให้ดีกว่า การเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อสร้างสินค้าใหม่ เป็นต้น
ทั้งหมดเพื่อให้มีคุณภาพดีขึ้น ต้นทุนต่ำลง ขายได้ง่ายขึ้น และมีสินค้าแปลกใหม่เพิ่มขึ้น

ด้านรัฐบาลไทยทำได้มากกว่า และต้องทำเพื่อรักษาเศรษฐกิจของไทย ตัวอย่างเช่น
1. ผู้นำรัฐบาลไทยควรเดินตามเกมทรัมป์ไปก่อน ควรเจรจาก่อน หรือเป็นผู้ริเริ่มรวมกลุ่ม 60 ประเทศ กี่ประเทศก็ได้ หรือเอาแต่ประเทศอาเซียนก็ได้โดยประชุมออนไลน์เพื่อร่วมสร้างมาตรการ
ทรัมป์กำลังทำลายระบบการค้าโลก ทำลายการค้าเสรี ทำให้เกิดสงครามการค้า การรวมกลุ่มทำให้เกิดพลัง อาจเกิดการซื้อขายกันเอง กลุ่มประเทศผลิตน้ำมันยังรวมกลุ่มเป็น OPEC ได้
ในอดีต ประเทศไทยเคยมีดำริเป็นผู้นำสร้างกลุ่มประเทศผู้ส่งออกข้าว แม้ไม่สำเร็จ ครั้งนี้ก็ควรลุกขึ้นเป็นผู้นำกลุ่ม ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ไทยจะเป็นหัวเชื้อให้หลายประเทศดำเนินการต่อ
เกมนี้คนสหรัฐก็เดือดร้อน และทรัมป์ก็อยู่ได้แค่ 4 ปี การรวมพลังย่อมดีกว่าการไม่รวม
2. พิจารณาประเทศที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษี และสินค้าอะไรที่ถูกขึ้นภาษีมากกว่าไทยก็ให้ส่งเสริมสินค้านั้นขายไปยังสหรัฐแทนที่ รัฐต้องทำข่าวสารข้อมูลให้ผู้ส่งออกทราบเพื่อสร้างโอกาสการขาย
3. เงินชดเชยภาษีส่งออกเป็นมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก ปัจจุบันอัตราเงินชดเชยลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนเหมือนไม่ช่วยเหลือ รัฐบาลควรเพิ่มเงินชดเชยให้แก่สินค้าที่ได้รับผลกระทบชั่วคราว
ผู้ส่งออกที่ได้เงินชดเชยเพิ่มขึ้นก็จะรักษาการส่งออกและการจ้างงานได้ระยะหนึ่ง
4. รัฐบาลไทยต้องลดค่าครองชีพภายในประเทศ ลดราคาน้ำมัน ไฟฟ้า ควบคุมราคาสินค้าที่เป็นพื้นฐานประจำวัน สินค้าอุปโภคบริโภคมิให้กระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังจะตกต่ำ
5. รัฐบาลไทยต้องควบคุมค่าแรงมิให้ขึ้นโดยไม่ฟังเสียงนายจ้าง ให้นโยบาย กกต. ห้ามมิให้พรรคการเมืองใช้ค่าแรงหาเสียง ให้ยึดกฎหมายที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการไตรภาคีที่มีลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาลพิจารณาร่วมกันเพื่อมิให้การเมืองชี้นำจนไม่มีนักลงทุนเข้ามาสร้างงาน
6. การที่รัฐบาลไทยคิดหาตลาดใหม่ให้สินค้าไทยที่ถูกขึ้นภาษีสหรัฐ ประเทศอื่นที่ถูกขึ้นภาษีก็หาตลาดใหม่เหมือนกันโดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่จะส่งสินค้าเข้าไทยมากขึ้น รัฐบาลจึงควรเร่งให้ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างมาตรการป้องกันการนำเข้าให้เข้มแข็ง
มิฉะนั้น ไทยจะกลายเป็นประเทศนำเข้ามากขึ้นจนเสียดุลการค้าแบบที่สหรัฐเสียหาย
7. รัฐบาลไทยต้องสั่งการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้ทำ War Room ติดตาม รวบรวมข้อมูล สร้างแผนเชิงรุก ทำการสื่อสาร และเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบเพื่อร่วมกันรับมือ
ไม่ว่าตัวอย่างข้างต้นจะดีหรือไม่ และไม่ว่าเกมนี้จะเป็นจริงหรือไม่ แต่เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของคนไทย ผู้นำจึงต้องเดินเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งภายในและภายนอก ต้องเดินอย่างมีแผน เดินให้เร็ว และเดินอย่างมีพลังในเชิงรุกกับเกม Reciprocal Tariffs ที่ทรัมป์รุกใส่ 60 ประเทศในครั้งนี้.

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

(พื้นที่โฆษณา)
โฉนดแลกเงินด่วน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.75% ต่อเดือน ถูกกฎหมาย
อนุมัติใน 3 วัน ทำสัญญาที่สำนักงานเขตที่ดิน ไม่เช็คบูโร
ติดต่อ https://inno-home.com/loan-lead/

อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/

Date Published : April 8, 2025

Dr. Sitthichai  Chawaranggoon
Dr. Sitthichai ChawaranggoonChief Executive Officer (CEO) - SNP GROUP

Logistics

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของประธานาธิบดีทรัมป์

แม้แต่ประเทศคู่ค้าสำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกาก็ไม่รอดพ้นจากนโยบายภาษีศุลกากรที่ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนก และทำให้ผู้กำหนดนโยบายทางการค้าต้องเร่งหาทางตอบโต้หรือบรรเทา

แล็ปท็อปจากไต้หวัน ไวน์จากอิตาลี กุ้งแช่แข็งจากอินเดีย รองเท้าผ้าใบไนกี้จากเวียดนาม และเนยจากไอร์แลนด์ — สินค้าทั้งหมดนี้สามารถพบได้ในบ้านของชาวอเมริกันทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการค้าเสรี และการเป็นตลาดส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดสำหรับสินค้าจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สินค้าเหล่านี้รวมถึงสินค้าอีกหลากหลายประเภทต้องเผชิญกับอัตราภาษีเพิ่มเติม หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% กับประเทศคู่ค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ เมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังประกาศเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้นกับ 60 ประเทศที่เขามองว่าเป็น “ผู้กระทำผิดร้ายแรงที่สุด” ในด้านนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จากนโยบายการค้าเดิมของสหรัฐฯ ที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดให้สินค้านำเข้าทั้งหมดต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 10% วันที่ 5 เมษายน 2568 นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะมีการเก็บภาษีต่างตอบแทนในอัตราที่สูงขึ้น ในวันที่ 9 เมษายน 2568 โดยสำหรับสหภาพยุโรปและจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทำเนียบขาวได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรไว้ที่ 20% และ 34% ตามลำดับ โดยภาษีเพิ่มเติมที่จีนต้องจ่ายจะถูกรวมกับอัตราภาษี 20% ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศเรียกเก็บไว้ก่อนหน้านี้ แม้แต่พันธมิตรใกล้ชิด เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ก็ไม่รอดพ้นจากมาตรการภาษีนี้ รวมไปถึงออสเตรเลียและบราซิล ทั้งๆ ที่ทั้งสองประเทศนี้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากกว่าส่งออก

การประกาศนโยบายนี้ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เรียกว่า “วันแห่งอิสรภาพของอเมริกา” ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก และทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระดับโลก ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงทันทีที่ข่าวนี้ออกมา เนื่องจากนักลงทุนต่างตื่นตระหนกกับอัตราและขอบเขตของมาตรการภาษีศุลกากร

ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือนนับจากดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน รวมถึงภาษีนำเข้าสำหรับเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ คำสั่งฝ่ายบริหารที่ประกาศเมื่อวันพุธมีการยกเว้นภาษีสำหรับบางสินค้า เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยา และไม้แปรรูป อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าสินค้าเหล่านี้อาจเป็นเป้าหมายต่อไปของการประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติม

บรรดาพันธมิตรและคู่แข่งของสหรัฐฯ ต่างพยายามทำความเข้าใจกับมาตรการภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศออกมา ซึ่งส่งผลให้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดในรอบกว่าร้อยปี และไม่มีสัญญาณของการผ่อนปรน บางประเทศขู่จะตอบโต้ ขณะที่บางประเทศพยายามผลักดันการเจรจาอย่างเปิดเผย และบางประเทศเลือกใช้ช่องทางลับเพื่อเจรจาเรียกร้องเงื่อนไขที่ผ่อนคลายลง

จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าเป็น “ผู้ใช้อำนาจข่มขู่ฝ่ายเดียว” และให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตน เกาหลีใต้เรียกประชุมหน่วยงานฉุกเฉินและให้คำมั่นว่า “จะใช้ทรัพยากรของรัฐบาลทั้งหมดเพื่อรับมือกับวิกฤตการค้า” ในขณะที่รัฐบาลบราซิลภายใต้การนำของประธานาธิบดี Luiz Inácio Lula da Silva กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ

ในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 2568 ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen กล่าวว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเจรจา และยังกล่าวด้วยว่าสหภาพยุโรปกำลังเตรียมมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการภาษีตอบโต้ที่ได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้สำหรับภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ

เอเชียได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการภาษีของทรัมป์
มาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเอเชีย เวียดนามซึ่งเคยได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ ถูกเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 46% ในขณะที่ไต้หวัน ไทย และอินโดนีเซีย ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้ามากกว่า 30% และทำเนียบขาวได้กำหนดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากอินเดียที่ 26%

ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียที่ฟื้นตัวจากความขัดแย้ง วิกฤต หรือความยากจน ได้ใช้การส่งออกสินค้าเป็นเส้นทางสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเป็นเวลานานหลายทศวรรษ แต่มาตรการภาษีใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นไต้หวันและญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการค้า หรือประเทศที่ยากจนกว่าและกำลังพยายามพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตนเอง เช่น กัมพูชาและบังกลาเทศ
กัมพูชาซึ่งเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าและรองเท้าส่งออก ต้องเผชิญกับภาษีสูงถึง 49% โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา นาย Sok Eysan โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชา กล่าวว่า “ในฐานะประเทศเล็กๆ เราแค่อยากจะอยู่รอด”

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวโทษว่าสินค้าราคาถูกจากประเทศเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตของอเมริกาตกต่ำลง อย่างไรก็ตาม สินค้าราคาถูกเหล่านี้ก็ช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และทำให้ราคาสินค้าต่างๆ สำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกันถูกลง

นาย Sarang Shidore ผู้อำนวยการโครงการ Global South ของสถาบัน Quincy Institute for Responsible Statecraft ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า ภาษีเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศกำลังพัฒนา และอาจเร่งให้หลายประเทศมุ่งสู่ระบบเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง อย่างไรก็ตาม “เมื่อพูดถึงการค้า เราอยู่ในโลกที่มีหลายขั้ว และมีตลาดทางเลือกอยู่ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะมาพร้อมกับความเจ็บปวดและต้นทุนในการปรับตัว”

นายกรัฐมนตรี Anthony Albanese ของออสเตรเลีย กล่าวว่าออสเตรเลียจะไม่ตอบโต้ด้วยมาตรการภาษี โดยยืนยันว่าออสเตรเลียจะไม่เข้าร่วมสงครามการค้าที่จะนำไปสู่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าของญี่ปุ่นต่างตกตะลึงกับอัตราภาษีใหม่ 24% ที่ประเทศต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าอัตราภาษีของญี่ปุ่นสำหรับสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าเกษตรอยู่ในระดับต่ำที่สุดในโลก ญี่ปุ่นกล่าวถึงมาตรการภาษีสหรัฐฯ นี้ว่า “น่าเสียใจอย่างยิ่ง” และให้คำมั่นว่าจะพยายามขอยกเว้นภาษีต่อไป นายกรัฐมนตรี Shigeru Ishiba ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการลงทุนของญี่ปุ่นเป็นมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมุ่งเน้นไปที่การซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว

นาย Takeshi Niinami ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Suntory Holdings บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์วิสกี้ระดับพรีเมียม กล่าวก่อนที่มาตรการภาษีใหม่จะถูกประกาศว่า “อาจเกิดช่วงเวลาแห่งความโกลาหล แต่ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ” ซึ่งเขาเชื่อว่าภาษีเหล่านี้อาจมีการเจรจาให้ลดลงได้ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ

บริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Exiger คำนวณว่ามูลค่าจากมาตรการภาษีใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์จะอยู่ที่ประมาณ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยภาษีส่วนใหญ่จะมาจาก 10 ประเทศ โดยเฉพาะจีนซึ่งต้องรับภาระภาษีเพิ่มเติมถึง 149,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าจากเวียดนามจะต้องเสียภาษีถึง 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไต้หวันอยู่ที่ 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่น 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สินค้าจากเยอรมนีและไอร์แลนด์รวมกันจะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อัตราภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บจากเวียดนามสูงมากและอาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลกในระยะยาว เนื่องจากเวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตทดแทนจีน บริษัทผลิตสินค้าเทคโนโลยีได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังเวียดนามเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากสงครามการค้ากับจีนในช่วงการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ และในปัจจุบันหนึ่งในสามของสินค้าส่งออกของเวียดนามก็เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

Apple ได้ย้ายฐานการผลิต AirPods นาฬิกา Apple Watch และ iPad ไปยังเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และยังได้ย้ายการผลิต iPhone บางส่วนไปยังอินเดีย หลังจากที่เคยพึ่งพาโรงงานในจีนเพียงอย่างเดียว

กลุ่มบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ของเกาหลีใต้ ได้ลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเวียดนามนับตั้งแต่เริ่มเปิดโรงงานที่เวียดนามเกือบ 20 ปีที่แล้ว ในปัจจุบัน ซัมซุงผลิตสินค้าในเวียดนามมากกว่าจีน โดยในปีที่แล้ว บริษัทผลิตสินค้ามูลค่าประมาณ 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากโรงงานในเวียดนาม และส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ไปยังตลาดโลก เวียดนามจึงได้รับผลประโยชน์เป็นอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกจากนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรก การเติบโตนี้ทำให้เวียดนามมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เกินดุลถึง 1.23 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามรองจากจีนและเม็กซิโก

ในช่วงแรกการค้าส่วนใหญ่ของเวียดนามมาจากการที่บริษัทต่างๆ ส่งสินค้าผ่านเวียดนามเพื่อเลี่ยงภาษีจากจีน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่แท้จริง และดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่ต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่

ในปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นกว่า 30% ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ ซึ่งสินค้าส่งออก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน เสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ไม้ เมื่อปีที่แล้ว หนึ่งในสามของรองเท้าที่ขายในสหรัฐฯ ผลิตในเวียดนาม และ Nike ผลิตรองเท้าประมาณ 50% ในประเทศนี้

นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฟาม มินห์ จิ่ญ เรียกประชุมฉุกเฉินกับคณะรัฐมนตรีเมื่อวันพฤหัสบดี เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ภาษี นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐต่างๆ กำลังพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคำนวณภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่สมาคมธุรกิจและบริษัทต่างๆ หวังว่ารัฐบาลจะสามารถเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีลงได้

ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยย้ำว่าพร้อมที่จะเจรจาและร่วมพูดคุยกับสหรัฐฯ แต่ก็แนะนำให้บริษัทต่างๆ มองหาตลาดใหม่เพื่อเตรียมการรองรับภาษี 36% ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บต่อสินค้าไทย

นาย แพทริค ซุง เจ้าของบริษัท Allitra ซึ่งช่วยบริษัทสหรัฐฯ ออกแบบและผลิตสินค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าภาษีใหม่นี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูง ลูกค้าของเขาผลิตสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่กระเป๋าเดินทาง อุปกรณ์กล้อง ไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งบริษัทของเขาใช้เวลาหลายเดือนในการมองหาทางเลือกใหม่แทนจีน แต่หลังจากที่มีประกาศอัตราภาษีใหม่ในวันพฤหัสบดี เขาก็เริ่มวางแผนย้ายการผลิตบางส่วนออกจากไทยและเวียดนามแล้ว โดย นาย แพทริค ซุง วางแผนจะเดินทางไปยังฟิลิปปินส์เพื่อสำรวจโรงงานใหม่ที่อาจใช้เป็นฐานการผลิตเพิ่มเติม เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดอัตราภาษีสำหรับฟิลิปปินส์ที่ 17% ซึ่งต่ำกว่าภาษีของไทยกว่าครึ่ง และต่ำกว่าภาษีของเวียดนามเกือบหนึ่งในสาม

นอกจากนี้ นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ยังสร้างความยุ่งยากให้กับธุรกิจขนาดเล็กของชาวอเมริกันเองอีกด้วย นาย Brenden McMorrow ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท Move2Play บริษัทของเล่นในเมืองทอร์แรนซ์ รัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า บริษัทผลิตสินค้าทั้งหมดในจีนมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา แต่เริ่มพิจารณาโรงงานในเวียดนามหรืออินเดียเพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อย่างไรก็ตาม พบว่าโรงงานในเวียดนามนั้นดำเนินการโดยบริษัทจีนและใช้วัสดุจากจีนซึ่งมีต้นทุนที่ไม่ต่างกันมากนักกับการผลิตในจีน อย่างไรก็ดี บริษัทจึงตัดสินใจทดลองผลิตของเล่นบางรุ่นในอินเดีย ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดูจะคุ้มค่ามากขึ้นหลังจากที่เวียดนามถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูง นอกจากนี้ บริษัทยังเคยศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตในสหรัฐฯ แต่พบว่าต้นทุนสูงกว่าการผลิตในจีนถึงห้าเท่า และแม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น เขาก็ยังไม่เห็นว่าสหรัฐฯ จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
“ผมไม่คิดว่ามันสมเหตุสมผลที่จะลงทุนในการผลิตในสหรัฐฯ มากนัก ถ้าประธานาธิบดีคนต่อไปเข้ามาแล้วกลับลำยกเลิกภาษีทั้งหมด คุณก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มาก มันสมเหตุสมผลกว่าที่จะยึดการผลิตในที่ที่เราทำอยู่ตอนนี้ แทนที่จะเสี่ยงทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/200437

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.