SNP eJournal

ฉบับที่ 457

Follow Us :     เพิ่มเพื่อน  

CEO ARTICLE

“ถอยครึ่งก้าว”

ผู้โดยสารรถนั่งส่วนบุคคล รถสาธารณะ

นั่งท้ายกระบะถูกจับไม่พอ

แคปหลังคนขับก็โดนจับ

ก่อนวันหยุดสงกรานต์ 2560 ไม่มีหัวข้อวิจารณ์ใดที่จะโด่งดังในสงคม On Line เท่ากับเรื่องการห้ามนั่งกระบะท้ายรถปิคอัพ และแคปในรถบรรทุก

รัฐบาลและคณะ คสช. มองว่า ประเทศไทยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์มากติดอันดับต้น ๆ ของโลกโดยเฉพาะช่วงเทศกาลวันหยุดยาว สาเหตุหลักก็มาจากวินัยการจราจร กฎหมายที่มีก็มากมายแต่ประชาชนไม่เคารพ

ไม่ว่าจะเป็นการรัดเข็มขัดและการนั่งกระบะท้ายรถที่จดทะเบียนบรรทุก รวมไปถึงการใช้รถบรรทุกสาดน้ำช่วงสงกรานต์ตามถนนสายหลัก การดื่มสุรา และมาจบลงด้วยอุบัติเหตุ

ส่วนใหญ่ก็มีกฎหมายเก่า ๆ จัดการอยู่แล้วแต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ฝ่าฝืนแบบสืบต่อกันมาจากผิดก็เลยคิดว่าถูก

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่กล้าใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ใครจะไปกล้าให้กระทบฐานเสียง

ต้นเหตุก็เห็น ๆ กันอยู่ทุก ๆ รัฐบาล

ใครมาเป็นรัฐบาลก็อยากทำให้ตัวเลขอุบัติเหตุและการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตลดลง ทั้ง ๆ ที่ทุกรัฐบาลรู้ต้นเหตุแต่ก็แก้กันที่ปลายเหตุ

พอมารัฐบาลนี้ การตัดสินใจเอาจริงจังก็เกิดขึ้นโดยใช้มาตรา 44 เข้าช่วย แล้วก็ได้เห็นวันแรกของการประกาศ

“ห้ามผู้โดยสารนั่งแคป-นั่งท้ายกระบะ”

กระแสคัดค้านเกิดขึ้นและตามมาในวงกว้าง ประชาชนกว่า 90 % ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากส่งผลกระทบต่อคนทำมาหากินโดยเฉพาะอาชีพที่มีความจำเป็นต้องใช้กระบะหลังบรรทุกคน (http://posttoday.com)

จากนั้นก็ตามมาด้วยการประชดประชันไม่ว่าจะเกิดจากคนมีชื่อเสียงหรือชาวบ้านธรรมดา คลิป ภาพ คำคมในลักษณะการคาดเข็มขัดนิรภัยพอเข้าใจ พอรับได้ แต่การห้ามนั่งท้ายกระบะรถปิคอัพและนั่งในแคปรับไม่ได้

มันกระทบต่อวิถีคนจนที่ต้องทำมาหากินด้วยการเดินทาง

ไม่ว่ารัฐบาลหรือ คสช. ก็โดนถล่มจนเริ่มเอียง มันกระทบ มันรังแกคนจนชัด ๆ บางกระแสถึงกับวิจารณ์ว่า

“นี่มันเข้าทางการเพิ่มยอดขายให้บริษัทรถยนต์และอุปกรณ์ชัด ๆ”

แล้วฝ่ายการเมืองก็ค่อย ๆ เข้ามารับลูก คนการเมืองย่อมมองออกว่า รัฐบาลทำอะไรก็ตามที่กระทบต่อคนจนในทางลบจนกลายเป็นกระแสที่หยุดไม่อยู่ ไฟอาจลามทุ่งเอาง่าย ๆ ไม่ว่ารัฐบาลจะแน่แค่ไหนก็อยู่ไม่ได้ทั้งนั้น

“รูปแบบรังแกคนจนชัดอยู่แล้ว”

เมื่อฝ่ายการเมืองค่อย ๆ ขยับเข้ามา ผู้วิจารณ์ทางการเมืองก็มองว่า รัฐบาลและ คสช. อาจถึงคราวล่มในคราวนี้

แต่แล้ววันที่ 6 เมษายน 2560 ตำรวจก็ประกาศมาตรการผ่อนปรนออกมาผ่อนคลาย

  1. เรื่องรัดเข็มขัดเบาะหน้าในรถยนต์ส่วนบุคคลยอมไม่ได้เด็ดขาด ส่วนเบาะหลังให้ตำรวจใช้ดุลยพินิจว่ากล่าวตักเตือนและรณรงค์สร้างความเข้าใจ ไม่เน้นการจับกุม รถโดยสายสาธารณะ เช่น แท็กซี่ รถตู้ รถโดยสารประจำทางต้องจัดให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัด
  2. กรณีรถกระบะ ผ่อนผันให้บรรทุกคนในแคปได้ ส่วนท้ายกระบะก็ผ่อนผันให้นั่งได้แต่ไม่เกิน 6 คน และห้ามนั่งขอบหรือฝาปิดท้ายกระบะโดยเด็ดขาด หากพบให้ดำเนินการจับกุม

ประเด็นไม่ให้นั่งแคปไม่มีใครรับได้เลย รัฐบาลก็รู้จึงยอมถอย “เต็มก้าว”

ส่วนการผ่อนปรนให้นั่งท้ายกระบะเพียง 6 คนนี้ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับได้หรือไม่เพราะรัฐบาลยอมถอยเพียง “ครึ่งก้าว”

มันต้องดูของจริงช่วงสงกรานต์ที่เป็นเทศกาลกลับบ้านและความสุข

หากช่วงนั้น ประชาชนเห็นว่าการผ่อนปรนยังไม่เพียงพอและพร้อมใจกันไม่สนใจกฎหมายที่ถอยให้เพียงครึ่งก้าว ผู้สันทัดกรณีต่างมองว่า ตำรวจไม่มีทางเอาอยู่และกรรมต้องมาตกที่รัฐบาลและคณะ คสช. แน่ ๆ

แล้วหากฝ่ายการเมืองร่วมผสมโรงเข้ามาอีก ประเด็นการถอยครึ่งก้าวนี้ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองขึ้นมาก็ได้

ไม่มีใครรู้ใจคนจนได้ดีเท่าคนการเมือง

คนจนไม่ได้โหยหา ไม่ได้หิวโหยการเมืองกันทุกคน แต่บังเอิญฝ่ายรัฐเกิดการเพลี่ยงพล้ำจนลูกเข้าทางการเมืองพอดี แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายการเมืองจะฉวยจังหวะนี้หรือเปล่า ???

วันนี้ คอการเมืองต่างก็มองว่า หลังจากการถอยครึ่งก้าวครั้งนี้แล้ว ฝ่ายรัฐจะเดินอย่างไรต่อไป

เอาแค่ครอบครัวที่มีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และลูกหลานที่ต้องเดินทางในแต่ละวันด้วยการนั่งในกระบะท้าย มันก็มีสิทธิ์มากกว่า 6 คนเข้าไปแล้ว

หากรวมผู้ใช้แรงงานที่ต้องเดินทางทุกวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับตัวผู้ต้องหาขึ้นท้ายกระบะ รถมูลนิธิที่ช่วยเหลือคนเจ็บ แล้วนักการเมืองที่ต้องหาเสียงด้วยการยืนท้ายกระบะเข้าไปอีก ใครจะไปยอมกัน การถอยครึ่งก้าวครั้งนี้ก็อาจไม่เพียงพอ

รัฐบาลอาจต้องตกที่นั่งลำบากแน่ ๆ

หากจะยึดกฎหมาย รถกระบะที่จดทะเบียนบรรทุกก็ต้องห้ามนั่งท้ายกระบะ หากจะถอยเต็มก้าว รัฐบาลก็ต้องแก้กฎหมายหรือใช้มาตรา 44 สั่งที่อาจเสียหน้า

คอการเมืองเริ่มคุยกัน แล้วก็มีบางคนมองว่าการที่รัฐบาลและคณะ คสช. ยอมถอยทั้งเต็มก้าวและครึ่งก้าวก็แปลว่า เริ่มมองออก

เมื่อมองออกก็คงจะพาตัวเองให้หลุดพ่วงกรรมนี้ออกมาได้แน่ แต่จะหลุดด้วยวิธีไหนคงมีคำตอบให้เห็นเร็ววันนี้

เว้นเสียแต่ว่า มีคนวิ่งเร็วกว่าฉวยจังหวะถอยครึ่งก้าวนี้โหมกระหน่ำซ้ำซัดเข้าไปจนรัฐตั้งรับไม่ทันเท่านั้น

คำตอบคงอยู่ในช่วงสงกรานต์นี้ละ

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

The Logistics

FTA อาเซียนฮ่องกงคืบหน้า เตรียมลงนามเวทีผู้นำพ.ย. 60

ถือเป็นข่าวดีก่อนหยุดสงกรานต์สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังรอคอย FTA อาเซียน-ฮ่องกงอยู่นะคะ

กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยถึงความคืบหน้าการประชุมคณะเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-ฮ่องกงที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ว่ามีความคืบหน้ากว่า 95% โดยคณะเจรจาได้สรุปการเจรจาในส่วนของความตกลงด้านการค้าและการลงทุน, ความตกลงด้านความร่วมมือและด้านกฎแหล่งกำเนิดสินค้า เหลือประเด็นคงค้างเพียงไม่กี่ประเด็น คาดว่าจะได้ข้อสรุปและพร้อมลงนามความตกลงในช่วงประชุมสุดยอดอาเซียน ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ในเดือนพฤศจิกายนนี้

โดยฮ่องกงซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจะเป็นคู่ค้าและคู่เจรจาลำดับที่ 7 ที่บรรลุความตกลงเขตการค้าเสรีกับอาเซียน จากเดิมคู่ค้าคู่เจรจา FTA กับอาเซียนมี 6 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ทั้งนี้หลังบรรลุความตกลงนี้ จะทำให้อาเซียนสามารถขยายการค้าการลงทุนออกไปทั่วโลก เพราะฮ่องกงเป็นฮับของการลงทุนด้านการเงิน และการบริการสินค้าของภูมิภาคแปซิฟิกอยู่แล้ว หากมีการเปิดเสรีการค้าเต็มรูปแบบ ในอนาคตจะมีการลงทุนและมีธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก ซึ่ง FTA ดังกล่าวจะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะสร้างโอกาสให้กับการลงทุนใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆ ของไทยในรูปแบบดิจิตอล นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับการเจรจา FTA อาเซียน-ฮ่องกง เริ่มเจรจาตั้งแต่กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมามีการประชุมไปแล้ว 9 รอบ โดยครอบคลุมประเด็นต่างๆ อาทิ การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา กลไลการระงับข้อพิพาทและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3250 วันที่ 6-8 เมษายน 2560