CEO ARTICLE
“หนีไม่พ้น”
คนไทยเป็นหนี้กันทุกคน เฉลี่ยคนละ 1.47 แสนบาท
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560 หน้าข่าวเศรษฐกิจ เขียนหัวข้อข่าวว่า
หนี้ครัวเรือนติดอันดับโลก
กู้ใช้จ่ายส่วนตัว-ซื้อรถจนหมดปัญญาผ่อน
เนื้อหาในข่าวให้ข้อมูลว่า หนี้ครัวเรือนไทยติดอันดับ 3 ของเอเซีย-แปซิฟิก และอันดับต้นของโลก เฉลี่ยหนี้ตัวหัว 1.47 แสนบาท
ส่วนใหญ่กู้เงินใช้จ่ายส่วนบุคคล-ซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หนำซ้ำยังเบี้ยวชำระอีก ทำให้มีหนี้เสียต่อตัว 5.6 หมื่นบาท
ขอย้ำ หนี้ส่วนใหญ่เพื่อใช้จ่ายส่วนบุคคล-ซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์
ไม่น่าเชื่ว่าคนไทยจะเป็นหนี้มากขนาดนี้มันมากขนาดติดอันดับต้น ๆ ของโลก อย่างนี้แล้วอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ???
รัฐบาลทั่วโลกมีหน้าที่ทำให้ประชาชนมีรายได้ อยู่ดีกินดี รัฐบาลไทยก็ไม่ต่างกัน
หลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยไม่ว่าจะมาจากประชาชนและโดยประชาชนหรือไม่ก็ตาม ต่างก็พยายามทำเพื่อประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วยโครงการจำนวนมาก
ในทางเศรษฐศาสตร์มหภาคมีคำกล่าวว่า ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด โครงการใด หรือเรื่องราวใด ๆ ก็ตาม
เมื่อได้ประโยชน์ (Benefit) ก็ต้องได้โทษ (Cost) ตามไปด้วย มันเป็นของคู่กัน
ในทุกรัฐบาลจะมีนักเศรษฐศาสตร์นั่งทำงานมากมาย บางรัฐบาลอาจเป็นถึงรัฐมนตรีด้วยซ้ำไป มันก็ย่อมแปลว่า ทุกรัฐบาลมองออก
แต่มองออกแล้วจะหาทางป้องกันโทษอย่างไรเท่านั้น นี่คือปัญหา
แต่ในอดีต เมื่อรัฐบาลทำโครงการใด การประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ก็จะโหมกระหน่ำ คนที่ได้ประโยชน์ต่างก็ออกมาสนับสนุน
ตรงกันข้าม คนที่ไม่ได้หรือเสียประโยชน์ หากไม่เงียบก็จะออกมาคัดค้าน แต่การคัดค้านก็มักขาดพลัง แล้วโครงการเหล่านั้นก็เดินหน้าต่อไป
เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ความพยายามสร้างโครงการใหม่เพื่อสนองผลทางการเมืองก็เกิดขึ้นอีกแล้วก็ตามมาด้วยการประชาสัมพันธ์ประโยชน์โดยมองข้ามโทษก็จะเกิดขึ้น บางรัฐบาลก็เอาโทษของโครงการรัฐบาลเก่ามาเขย่าซ้ำก็มี
แล้ววันนี้ ประเทศไทยเป็นอย่างไร ???
คำตอบก็คือ ประชาชนมีหนี้สินกันทุกคนเฉลี่ยคนละ 1.47 แสนบาท แล้วพอรายงานออกมาว่าหนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ คนอ่านก็พาลคิดถึงโครงการของรัฐบาลเก่า ๆ ที่ทำเกี่ยวกับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาทันที
ประชาชนเป็นหนี้มาก ๆ เศรษฐกิจขาดความมั่นคง กิจการร้านค้า SME ลดความเสี่ยงหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวที่มีต้นทุนค่าจ้างต่ำกว่า
ประชาชนระดับรากหญ้าถูกโหมกระหน่ำด้วยการว่างงาน
แล้วอาชีพที่ไม่สุจริตก็เกิดขึ้นไม่ว่ายาเสพติด การขายตัว บ่อนการพนัน หวยใต้ดิน ขโมย การปล้น และการหลอกลวงฉ่อโกง
เมื่อประกอบกับการวิจารย์ของต่างชาติที่ว่า คนไทยขี้อิจฉาเข้าไปอีก ข่าวบ้านไหนปลูกขึ้นใหม่ บ้านไหนซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่ ใครซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ และใครทำอะไรก็มักกลายเป็นที่อิจฉาของคน
มันทำให้คนที่พบเห็นอยากมี อยากได้ตามไปด้วย
เมื่อทำอาชีพให้ได้เงินมากกลับไม่ได้เงินมากตามที่ต้องการ สุดท้าย อาชีพที่ไม่สุจริตก็ยิ่งมีคนเข้าไปทำมากขึ้น
ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะแก้ไขอย่างไร ไม่ว่าจะโทษโครงการเก่าของรัฐบาลก่อนอย่างไร สุดท้ายมันก็หนีไม่พ้นความเสียหาย หนีไม่พ้นการถูกวิจารย์ และประชาชนก็หนีไม่พ้นปัญหาที่รุมเร้าซึ่งก็ไม่เว้นแม้แต่อังกฤษ อเมริกา จีน และประเทศอื่น ๆ ที่ค่อย ๆ มีข่าวด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นตลอดเวลา
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในวันนี้จึงซับซ้อนกว่าอดีตมากเป็นเท่าตัว คนยิ่งเกิดเพิ่มมากขึ้นทุกวินาที การกิน การใช้ต้องเกิดมากขึ้นทุกวินาที
ปัญหาที่ทับโถมก็ยิ่งทับโถมมากยิ่งขึ้นทุกวินาที
ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะแก้ปัญหาอย่างไร แม้จะได้ประโยชน์มากเพียงใด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นโทษที่จะได้รับไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประโยชน์ยิ่งได้มาก โทษก็ยิ่งได้มากตามไปด้วย
วันนี้ ประชาชนจึงไม่น่าจะมีทางเลือกมากนัก
การนิ่งอย่างมีสติ การยึดอาชีพสุจริต การใช้จ่ายภายใต้สติ และการยอมรับประโยชน์และโทษที่จะเกิดขึ้นในทุกเรื่องจึงเป็นเลือกที่หนีไม่พ้นเช่นกัน
มันเป็นยุคของการหนีไม่พ้นจริง ๆ
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
The Logistics
เมืองเฉวียนโจวเปิดเส้นทางการเดินเรือตรงไปสู่เวียดนามและไทยเป็นเที่ยวแรก
เว็บไซต์ fjsen.com รายงานข่าววันที่ 13 มิถุนายน 2560 ว่า เมื่อวันที่ 12 เดือนมิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา พิธีเปิด “เส้นทาง เดินเรือตรงไปสู่ประเทศเวียดนามและประเทศไทยเป็นเที่ยวแรก” ได้จัดขึ้น ณ เมืองสือซือ(ภายใต้การปกครองของเมืองเฉวียนโจว) มณฑลฝูเจี้ยน เส้นทางนี้เปิดด้วยบริษัท Antong Holding จำกัด นับได้ว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินเรือเที่ยวแรกจากเมืองเฉวียนโจวตรงไปสู่เวียดนามและไทย
เส้นทางเดินเรือ “เฉวียนโจว-เวียดนาม-ไทย” จะเริ่มต้นจากเมืองเฉวียนโจวและแวะขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือเมืองซัวเถา ท่าเรือโฮจิมินห์ ท่าเรือกรุงเทพฯ ท่าเรือแหลมฉบัง แล้วย้อนกลับเมืองเฉวียนโจว(ระหว่างทางจะแวะขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือเมืองจ้านเจียง มณฑลกวางตุ้ง) รายงานข่าวระบุว่า เส้นทางดังกล่าวจะมีการเดินเรือเป็นสัปดาห์ละ 1 เที่ยว โดยใช้เวลาเดินเรือจากเมืองเฉวียวโจว มลฑลฝูเจี้ยน – ประเทศไทย ประมาณ 6-8 วัน/เที่ยว
ทั้งนี้ เส้นทางดังกล่าวจะขนส่งสินค้าเพื่อการส่งออกของเมืองเฉวียนโจว ได้แก่ รองเท้า อาหาร เสื้อผ้า หมวก วัสดุก่อสร้าง เป็นต้นไปยังประเทศเวียดนามและไทย และขนส่งสินค้าข้าว อาหารและสินค้าเกษตรของสองประเทศนี้มาสู่ประเทศจีน
นาย Guo Dong Sheng ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท Antong Holding จ ากัด กล่าวว่า เมืองเฉวียนโจวในฐานะเป็น “เมืองแห่งชาวจีนโพ้นทะเล” ที่มีชื่อเสียงของจีน มีชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศอาเซียนเป็นจำนวนมาก ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เมืองเฉวียนโจวมีการค้าขายกับเวียดนามและไทยมากยิ่งขึ้น การที่เปิดเส้นทางเดินเรือ “เฉวียนโจว-เวียดนาม-ไทย” ถือว่าเป็นโอกาสเปิดช่องทางใหม่เพื่อเข้าสู่ตลาดต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการเมืองเฉวียนโจว และเป็นการส่งเสริมการกระจายสินค้า การขยายทางการค้าและการ พัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของเมืองเฉวียนโจว อนึ่ง จะแสดงให้เห็นถึงบทบาททสำคัญของท่าเรือเมืองเฉวียนโจวในการเชื่อมโยงกับ ประเทศบนเส้นทาง “One Belt,One Road ”
นอกจากนี้มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องระบุว่า การเปิดเส้นทางดังกล่าวจะสามารถประหยัดค่าขนส่งสินค้าจากเมืองเฉวียนโจวไปสู่เวียดนาม และไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งจะลดต้นทุนในการส่งออกสินค้าให้กับผู้ประกอบการเมืองเฉวียนโจว และในขณะเดียวกัน เชื่อว่าเส้นทางนี้จะเป็นสะพานเชื่อมโยงความร่วมมือทางการค้าระหว่างเมืองเฉวียนโจวกับประเทศอาเซียน
ที่มา: http://www.ditp.go.th/ditp_pdf.php?filename=contents_attach/172917/172917.pdf&title=172917