“นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน”

วันที่ 11 ต.ค. 62 เว็บไซต์ https://news.mthai.com/world-news/766813.html ให้หัวข่าวว่าสถานทูตจีนประณาม “นักการเมืองไทย” หลังโจชัวหว่องโพสต์รูปคู่ธนาธร
จากข่าวและภาพ ใคร ๆ ก็เดาว่านักการเมืองไทยที่สถานทูตจีนกล่าวถึงนี้คือ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
คุณธนาธรนับเป็นนักการเมืองหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง มีความรู้ ร่ำรวย ทรัพย์สินเท่าที่แสดงมีถึง 5 พันกว่าล้านบาท และมีความคิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่สิ่งใหม่
คุณธนาธรอาจเป็นเซียนการตลาด รู้ลักษณะและความต้องการของคนรุ่นใหม่ Gen Z นโยบายที่ออกมาจึงโดนใจตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม เช่น ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ไม่ต้องไหว้ครู ไม่ต้องนับอาวุโส และวัฒนธรรมที่น่าเบื่ออื่น ๆ ในสายตาคนรุ่นใหม่ Gen Z จนได้รับความนิยม
ยิ่งเมื่อพรรครักษาชาติถูกยุบไป คะแนนเสียงก็ยิ่งไหลเข้าพรรคอนาคตใหม่จนได้จำนวน ส.ส. ถึง 81 ที่นั่งกลายเป็นพรรคอันดับ 3 ในการเลือกตั้งเดือน มี.ค. 62 ที่ผ่านมา
ความเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ การจะทำอะไรก็อาจพลาดได้ง่าย เช่น การไปถ่ายรูปคู่กับโจชัวหว่องโดยไม่คิดว่าจะถูกสถานทูตจีนแถลงการประณาม การให้สัมภาษณ์ว่าการประท้วงในฮ่องกงและโจชัวหว่องเป็นแรงบันดาลใจให้คุณธนาธรต่อสู้และตั้งพรรคการเมือง
แต่ในทางกลับกัน ใครจะไปรู้ว่าการประท้วงและความรุนแรงในไทยเมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้ก็อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้โจชัวหว่องลุกขึ้นมาประท้วงอย่างรุนแรงเรียนแบบไทยก็ได้ หรือ
ความพยายามทำให้การโอนหุ้นภายในครอบครัวก่อน แล้วจดแจ้งกับกระทรวงพาณิชย์ภายหลังเป็นเรื่องปกติ แต่ในทางกฎหมายให้ถือการโอนหุ้นอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ณ วันที่จดแจ้งเท่านั้น หรือ
การนำเงินให้พรรคอนาคตใหม่กู้ 191 ล้านบาท แต่ในกฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองมิได้มีไว้เพื่อการค้าหรือเพื่อหากำไร การกู้เงินจากนายทุนจึงเป็นช่องทางให้พรรคถูกครอบงำ
รัฐธรรนูญ 60 จึงสร้างความชัดเจนกว่าฉบับก่อนหน้าเพื่อป้องกัน
เงินกู้จึงให้ถือเป็นรายได้ของพรรคตามแนวคิดในทางสาธารณะ หรือแบบมหาชน มิใช่แนวคิดทางการค้า หรือแนวคิดทางบัญชีของบริษัทที่ถือเงินกู้เป็นหนี้สิน
ตัวอย่างสุดท้าย พรก. โอนย้ายกำลังพล
แกนนำพรรคอนาคตใหม่ใช้มติพรรคบังคับ ส.ส. ให้ลงมติไม่รับ พรก. ถึง 70 ทั้งที่บางคนไม่เห็นด้วย พฤติกรรมนี้ได้สร้างความไม่สบายใจต่อประชาชนที่รักสถาบัน
ด้วยความเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มุ่งมั่นใช้นโยบายแรงเพื่อเปลี่ยนประเทศไทย คุณธนาธรจึงมีคดีความตามมามากมายโดยไม่มีใครตอบได้ว่า “ถูกหรือผิด” จนกว่าจะมีคำตัดสินจากศาล
การที่ต้องมีคดี ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลหลายกรณีแบบนี้ หัวอกคนเป็นแม่ทั่วไปย่อมรู้สึกเป็นห่วงอย่างแน่นอนไม่เว้นแม้แต่คุณแม่ของคุณธนาธร
จนเมื่อวันศุกร์ที่ 18/10/62 ที่ผ่านมาก็ถึงคิวคุณแม่ของคุณธนาธร ภรรยา หลาน และบริวารในครอบครัวต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญในฐานะพยานเพื่อให้การในคดีการโอนหุ้นวี-ลัคมีเดีย
คุณแม่ย่อมเป็นห่วงคุณธนาธร ตัวคุณธนาธรก็คงรู้สึกแย่ที่เป็นเหตุให้คุณแม่และบุคคลในครอบครัวต้องมาแบกรับความตื่นเต้นและความตรึงเครียดในระหว่างการไตร่สวน
การสาบานก็เรื่องหนึ่ง เรื่องจริงก็เรื่องหนึ่ง เรื่องไม่จริงก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่มีใครรู้นอกจากคุณธนาธร หากรวมความเป็นห่วง ความตื่นเต้น และความตรึงเครียดก็นับว่าคุณแม่ของคุณธนาธรมีความรักในลูกและความอดทนสูง

ในความเป็นแม่ทั่วไป คนเป็นแม่อย่างไรก็เป็นแม่ ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็รักลูก
การเห็นลูกต้องขึ้นศาล ถูกซัก ถูกถามราวกับทำผิดจริง ๆ หัวอกคนเป็นแม่ทุกคนก็ต้องปวดร้าวกันทั้งนั้น หลีกเลี่ยงได้ก็อยากจะหลีกเลี่ยง
หากการบนบานศาลกล่าวได้เป็นจริง เชื่อว่าแม่ทั่วไปคงอยากให้คดีสิ้นสุดโดยเร็ว อยากให้ลูกเลิกเล่นการเมืองจะดีกว่า ตัวเองตื่นเต้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ปวดร้าวเหลือเกินก็ตอนเห็นลูกถูกซักถูกถามกลางศาล
คนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกพ้นคดี พ้นเคราะห์พ้นโศรก หากศาลตัดสินให้เว้นวรรคการเมืองได้ ไม่แน่ว่าคุณแม่ก็อาจดีใจก็ได้ ลูกจะได้กลับมาเป็นครอบครัวทำธุรกิจเหมือนเดิม
แต่ความเป็นจริงกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าผลคดีจะออกมาอย่างไรนักวิเคราะห์หลายท่านต่างบอกตรงกันว่า นโยบายที่พรรคอนาคตใหม่เสนอโดนใจเด็กรุ่นใหม่ Gen Z และคนยังนิยมคุณธนาธรมากเหลือเกิน
ยิ่งคุณธนาธรมีคุณปิยะบุตรที่เป็นทั้งอาจารย์และเป็นขุนพลฝีปากกล้า ไม่ว่าคุณธนาธรจะยุติ จะอยู่เบื้องหลัง หรือจะได้เดินหน้าต่อ คนต่างเชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งในครั้งหน้า คะแนนนิยมและความสงสารจะทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนพุ่งมากยิ่งขึ้น
ยิ่งคนรุ่นเก่า Gen X และ Baby Boomer มีแต่จะลดน้อยถอยลง คนรุ่นใหม่ไฟแรง Gen Z มีแต่มากขึ้น คะแนนนิยมของคุณธนาธรก็จะยิ่งมากขึ้นจนอาจได้คะแนนเหนือพรรคเพื่อไทย
หากวันนั้นเป็นจริงประเทศไทยก็อาจมีนายกรัฐมนตรีชื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแน่ แต่หลังจากนั้น ประเทศไทยจะเดินหน้าไปทางไหน ?
หากมีการเปลี่ยนแปลงชนิดคนรุ่นเก่า Gen X และ Baby Boomer รับไม่ได้และต่อต้าน ความวุ่นวายก็คงตามมา แต่สิ่งที่น่าจะสบายใจได้เปาะหนึ่งคือ คุณแม่ของคุณธนาธร
ภาพที่ทุกคนเห็นในวันขึ้นศาลคือ คุณแม่หากไม่ใช่ Gen X ก็คงเป็นรุ่น Baby Boomer
คุณแม่เป็นคนรุ่นเก่าเหมือนกัน มีเชื้อสายจีน มีบรรพบุรุษเข้ามาพึ่งพระโพธิสมภารของแผ่นดินไทย พึ่งพระบารมีของสถาบันกษัตริย์ไทย การจะทำอะไรที่หมิ่นเหม่ต่อความอกตัญญูต่อแผ่นดิน ใคร ๆ ก็เชื่อว่า คุณแม่ไม่ยินยอมแน่
เอาแค่การประณามของสถานทูตจีน
นักการเมืองไทยบางคนถูกประณามที่ไปติดต่อคบคิดกับโจชัวหว่องกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน หากเป็นคุณธนาธรจริงคุณแม่ก็ปวดร้าวแล้ว
นั่นก็แผ่นดินจีนเป็นที่เกิดของบรรพบุรุษ นี่ก็แผ่นดินไทยเป็นที่บรรพบุรุษอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างความร่ำรวย แต่กลับถูกประณาม
คุณแม่คงรู้สึกไม่ดีแน่
หากคนรุ่นใหม่ Gen Z ยังหลงไหลนโยบายแปลกใหม่ คุณธนาธรก็มีโอกาสเข้าบริหารประเทศได้ในวันหนึ่งแม้ผลของคดีจะยาวนานสักเพียงใด
หากวันนั้นมาถึงจริงก็คงไม่น่ากลัวสำหรับคนรุ่นเก่า Gen X และ Baby Boomer สักเท่าไร หัวอกแม่ของคุณธนาธรคงช่วยชี้แนะให้เดินไปในสายกลางจนอาจเป็นบุคคลแห่งปีขึ้นมาในอนาคตก็ได้
ภาพคุณแม่ในวันขึ้นศาลทำให้เห็นหัวอกแม่ชัดขึ้น
ภาพคุณแม่ปกป้องลูกทำให้คุณธนาธรดูดีขึ้น แต่จะดีจริงหรือไม่ ดีอย่างสมดุลให้กับคนรุ่นใหม่ Gen Z และคนรุ่นเก่า Gen X และ Babyboomer หรือไม่ ก็คงอยู่ที่คุณธนาธร
คุณธนาธรจะนำหัวอกแม่มาร่วมต่อยอดนโยบายไปให้ถึงฝั่งอย่างที่หวังได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร