CEO ARTICLE
ไหว้ครูการเมือง
‘พานไหว้ครูล้อการเมือง นร. จัดเต็ม’
ไทยรัฐฉบับวันศุกร์ที่ 14 มิ.ย. 2562 ให้หัวข้อข่าวข้างต้น
เรื่องที่ไม่ควรจะเป็นเรื่องเป็นราวก็เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกจนได้เมื่อนักเรียนในโรงเรียนหลายแห่งจัดพานไหว้ครูในลักษณะล้อการเมือง
ตลอดเวลานับสิบ นับร้อยปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะเห็นการล้อการเมืองจากวงการการศึกษาก็เพียงการแข่งกีฬาระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ทำกันในระดับมหาวิทยาลัยจนเป็นประเพณี
แต่ครั้งนี้กลับลุมลามเข้าไปในพิธีไหว้ครูที่ไม่น่าเกี่ยวกับการเมือง และทำโดยนักเรียนในระดับมัธยมเท่านั้น
ฝ่ายต่อต้านพล อ. ประยุทธ์ก็ว่า เด็กมีความคิดของเด็กเอง ไม่มีใครอบรม
ฝ่ายสนับสนุนพล อ. ประยุทธ์ก็ว่า มีคนนำความคิดเหล่านี้มาให้กับเด็ก พฤติกรรมนี้จึงเกิดขึ้นในโรงเรียนมากกว่า 1 แห่ง
นักวิจารณ์การเมืองก็ว่า หากพฤติกรรมนี้เกิดจากตัวเด็กเอง ไม่มีคนเสี้ยมสอน ต้นเหตุก็คงมาจากการเสพข้อมูลทางการตลาดของเด็กเอง
การไหว้ครูไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ แต่ก็ถูกลากเข้าไปเพราะการตลาดนี่ที่ได้ลุกลามเข้าสู่วงการการเมืองของไทยมาหลายสิบปีแล้ว
ไม่มียืนยันได้ว่า การตลาดการเมืองที่เกิดขึ้นในไทยนั้นลอกเลียนแบบมาจากการเมืองในต่างประเทศ หรือการตลาดการเมืองในต่างประเทศลอกเลียนแบบมาจากการเมืองไทยกันแน่
การตลาด (Marketing) คืออะไร ???
ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีให้ความหมายว่า ‘การตลาดคือ กระบวนการของการสื่อสารคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการไปยังลูกค้า การตลาดอาจถูกตีความว่าเป็นศิลปะแห่งการขายสินค้าในบางครั้ง แต่การขายนั้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของการตลาด’
ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การตลาดมีความสำคัญต่อการขาย ผลกำไร และความอยู่รอดของกิจการอย่างมาก ประชากรทั่วโลกยิ่งมาก การตลาดก็ยิ่งมีความสำคัญต่อการสื่อสารมาก
ธุรกิจจะมีการสร้างคุณค่า สร้างภาพลักษณ์ สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าหรือบริการเพื่อให้ประชาชนสัมผัสและตัดสินใจซื้อด้วยการตลาด
นักธุรกิจที่ดีจะมีคุณค่า มีภาพลักษณ์ และมีความน่าเชื่อถือโดยไม่ต้องสร้าง ความดีจะค่อย ๆ กระจายออกไป อาจมีการตลาดเข้าช่วยบ้าง แต่ของจริงจะมีความจีรังยั่งยืน
ตรงกันข้าม นักธุรกิจที่ภาพลักษณ์ไม่ดี คุณค่าน้อย แต่หวังการขาย หวังผลกำไรก็จำเป็นต้องใช้การตลาดเข้าช่วยให้มาก แต่ของที่สร้างขึ้น ของไม่จริงมักถูกต่อต้าน มักถูกเปิดเผย ยิ่งในโลกสื่อสารปัจจุบัน การถูกเปิดเผยออกมาก็มักเร็วกว่าในอดีต
หลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักธุรกิจที่ร่ำรวยแล้วผันตัวเองเข้าสู่วงการการเมืองก็มาก นักธุรกิจย่อมมีความเชี่ยวชาญการตลาดจึงนำการตลาดมาใช้กับการเมืองซึ่งต่างจากผู้ที่มาจากข้าราชการ เกษตรกร หรืออาชีพที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตลาด
นักธุรกิจบางท่านเมื่อเข้าสู่การเมืองก็สร้างภาพตัวเองว่า เก่งในด้านบริหาร มีความรู้จากต่างประเทศ ความเป็นผู้นำรุ่นใหม่ รวยแล้วไม่โกง หรืออื่น ๆ ให้เป็น ‘วาทกรรม’
จากนั้นก็อัดวาทกรรมเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการทางการตลาด
วาทกรรมเป็นคำพูดที่สวยหรู อาจจริง อาจไม่จริง อาจทำเรื่องดีงามให้เป็นเรื่องร้ายก็ได้ อาจทำเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีก็ได้ หรืออาจทำให้เชื่อในเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยก็ได้เช่นกัน
นี่คือการตลาดบวกการเมือง
ปัจจุบันสื่อเป็นกลางยาก อย่างน้อยคนทำสื่อก็ต้องเข้าคูหาเลือกตั้ง สื่อจึงเลือกข้างอยู่เงียบ ๆ สื่ออยู่การเมืองข้างใดก็จะนำวาทกรรมของข้างนั้นออกบ่อย ๆ
คำพูดให้เกลียดชังกัน (Hate Speech) ข่าวไม่จริง (Fake News) จึงเกิดขึ้นและกระจายออกไป
ประชาชนที่เสพสื่อด้านเดียว หรือผู้ที่ถูกการตลาดตอกย้ำ ๆ ทุกวันโดยขาดวิจารณญาณ ขาดหลักการ ขาดเหตุผล ก็จะเกิดความเชื่อจากสื่อที่ตอกย้ำ
จากนั้นก็นำความเชื่อนั้นไปขยายต่อ
กรณีพานไหว้ครูล้อการเมืองในครั้งนี้ คนติดตามข่าวการเมืองต่างมองคล้ายกันว่า การตลาดการเมืองปัจจุบันได้ลุกลามเข้าสู่วงการการศึกษาแล้ว
เด็กและเยาวชนกลายเป็นเป้าหมายการตลาดมาก เพราะวันนี้ เด็กอายุ 18 ปี ที่ยังอยู่ในการศึกษาระดับมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัยก็มีสิทธิ์เลือกตั้งแล้ว
ในเมื่อเด็กมีสิทธิ์เลือกนักการเมือง เด็กก็ย่อมเป็นเป้าหมายทางการตลาดการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเลือกตั้ง 22 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา ผู้ติดตามการเมืองจึงเห็นภาพนักการเมืองบางรายมุ่งสู่สถาบันการศึกษา ตลาดคนรุ่นใหม่ ตลาดใสบริสุทธิ์ที่ไม่เคยเลือกตั้งมาก่อน
เด็กน้อยคนจริง ๆ ที่เข้าใจเล่ห์เหลี่ยมการเมือง เด็กส่วนใหญ่จะเป็นวันซุกซนแบบเด็ก ไม่เคยเลือกตั้งมาก่อน เด็กเป็นวัยที่ใฝ่รู้ใฝ่เห็น มีความคิดสร้างสรรค์ บางคนก็มองวัฒนธรรมน่าเบื่อในมุมต่อต้านอย่างเงียบ ๆ
ในที่สุด การตลาดการเมืองก็นำวัฒนธรรมที่น่าเบื่อในมุมของเด็กมากระตุ้นอารมณ์ร่วม
ในอดีต เด็กมักถามความเห็นด้านตรงข้ามกับพ่อแม่ ครู อาจารย์ แม้จะมีอารมณ์ต่อต้าน วัฒนธรรมที่น่าเบื่อ แต่การต่อต้านจะแสดงออกในวงจำกัด
นักธุรกิจที่ใช้การตลาดย่อมเข้าใจอารมณ์ต่อต้านที่ฝังลึกเงียบ ๆ ในตัวเด็ก
การสร้างภาพลักษณ์ การสร้างวาทกรรม และการกระตุ้นอื่น ๆ ด้วยการตลาดโดยมีเด็กเป็นเป้าหมายจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เป็นชั้นเชิงแบบธุรกิจ
ในที่สุด อารมณ์ต่อต้านที่ฝังลึกเงียบ ๆ ก็ถูกกระตุ้นได้ง่าย
พรรคการเมืองที่เข้าใจอารมณ์ต่อต้านของเด็ก ก็ใช้วัฒนธรรมที่น่าเบื่อในมุมของเด็กมาสร้างวาทกรรมเชิงต่อต้านเข้าสู่การตลาดอย่างเป็นระบบ
เมื่อเด็กเสพเข้าไป การติดก็ง่าย ภาพแสดงออกในทางต่อต้านวัฒธรรมอันดีงามในมุมของเด็กก็ไหลพรูออกมาอย่างที่เห็น
การจะห้ามวาทกรรมต่าง ๆ เข้าสู่การตลาดการเมืองเป็นเรื่องยากในปัจจุบัน
การจะห้ามเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีอารมณ์ต่อต้านวัฒนธรรมอันดีงามแต่น่าเบื่อในมุมของเด็กก็เป็นเรื่องยากอีกเช่นกัน
แต่หากรัฐบาลยังปล่อยให้สถานการณ์ไหลไปเช่นกัน อะไรจะเกิดขึ้นกับวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ใคร ๆ ก็มองว่า เด็กเป็นผู้รับช่วงต่อการสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของไทย
หากเด็กมีมุมมองวัฒนธรรมเปลี่ยนไป หากเด็กต่อต้านมาก ๆ เข้า สุดท้าย วัฒนธรรมอันดีงามของไทยก็จะหายไปด้วย
ในกระแสโลกาภิวัฒน์ วัฒนธรรมส่วนใหญ่จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่วัฒนธรรมที่ถูกการตลาดการเมืองเข้ามาเป็นตัวนำจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน และสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงอย่างกรณีพานไหว้ครูที่ไม่น่าจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแต่อย่างใด
พานไหว้ครูล้อการเมืองที่เห็นวันนี้เป็นเพียงจุดหนึ่ง
การแสดงพลังต่อต้านของเด็กที่เห็นก็เป็นเพียงจุดหนึ่ง แต่ภาพรวมแล้ว มันกำลังเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของประเทศโดยมีนักการเมืองที่หวังเพียงอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
การตลาดการเมืองวันนี้ จึงเป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมอันดีงามของไทยในอนาคตอย่างมากและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องสร้างมาตรการป้องกันให้เร็วกว่านี้
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
LOGISTICS
“T-Pod” รถบรรทุกไร้คนขับออกวิ่งจริง
นาย Jochen Thewes ผู้บริหารบริษัท Schenker ลงทุนเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อที่จะร่วมส่งเสริมพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาได้ยืนรอรถบรรทุกปราศจากคนขับขนาด 26 ตันพร้อมเพลงร็อค Thunderstruck ของวง AC/DC โดยรถบรรทุกคันดังกล่าวได้เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เข้ามาหานาย Thewes ที่ยืนรออยู่ และการแสดงในครั้งนี้ก็จบลงด้วยดี ปราศจากผู้บาดเจ็บ รถบรรทุกคันดังกล่าวหยุดที่หน้านาย Thewes สัก 1 วา
โดยบริษัท Start Up นาม ว่า Einride จากกรุงสตอกโฮล์มที่มีทีมนักวิจัยจำนวน 55 คนได้มอบชื่อให้กับรถบรรทุกไร้คนขับคันนี้ว่า “T-Pod” โดยรถบรรทุกคันนี้ไม่เพียงแค่ไร้คนขับเท่านั้น รถคันดังกล่าวยังไม่มีพื้นที่ให้คนขับนั่งอีกด้วย แต่รถประกอบไปด้วยกล้องจำนวน 6 ตัว ระบบเรดาร์ และ เครื่องตรวจจับด้วยแสงอินฟราเรดอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าจะเพียงพอที่จะสามารถบังคับให้รถบรรทุกสามารถขับเคลื่อนผ่านการจราจรบนท้องถนนได้ อีกทั้งรถบรรทุกคันดังกล่าวยังมีเสารับสัญญาณ 2 เสาที่สามารถแสดงที่อยู่ของรถบรรทุกคันดังกล่าว แบบมีความแม่นยำถึง 20 มิลลิเมตรเลยทีเดียว และ T-Pod ก็ได้เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้านการคมนาคม โดยบริษัท DB Schenker บริษัทขนส่งสินค้าจากเยอรมนี เป็นบริษัทแรกในโลก ที่ส่งรถบรรทุกปราศจากคนขับและขับเคลื่อนอัตโนมัติออกสู่ท้องถนน โดยประเทศสวีเดนได้ออกป้ายทะเบียนแบบปกติให้รถบรรทุกคันดังกล่าว ซึ่งรถคันนี้สามารถใช้งานเป็นรถรับส่งระหว่าง 2 โกดังในแถบ Jönköping หรือไกลจากท่าเรือเมือง Göteborg ราวๆ 150 กิโลเมตรได้ตามปกติ
นาย Thewes ที่เดินทางมายังจุดปล่อยรถไกลเมืองหลวงและกล่าวว่า “เรามีความเชื่อมั่นในการใช้งานระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และถ้าในอนาคตหน่วยงานราชการอนุญาตให้สามารถใช้ความเร็วในการขับเคลื่อนได้เพิ่มขึ้น ทางบริษัทก็จะพิจารณานำรถบรรทุกเหล่านี้มาใช้งานมากขึ้น” ในวันนี้บริษัทลูกของ Deutsche Bahn เป็นบริษัทขนส่งทางถนนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีรถบรรทุกสำหรับใช้งานมากถึง 35,000 คัน โดยในโครงการนำร่องที่จะสิ้นสุดในปี 2020 นี้ กระทรวงคมนาคมในกรุงสตอกโฮล์มได้จำกัดความเร็วของ T-Pod ไว้ที่ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไว้ ซึ่ง T-Pod นั้นสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถขับเคลื่อนได้ถึง 200 กิโลเมตรกับใช้งานแบตเตอรี่ขนาด 280 กิโลวัตต์ของบริษัท Calp จากประเทศจีน และถ้า T-Pod ประสบกับปัญหาจราจร ศูนย์ควบคุมในบริษัทก็สามารถสั่งการทางไกลผ่าน Joystick ได้
นาย Pär Degerman หัวหน้าด้านเทคนิคของ Einride ได้กล่าวว่า “ในเวลานี้ภาครัฐได้บังคับให้มีเจ้าหน้าการตรวจสอบการแสดงผล 1 คนต่อรถ 1 คัน แต่ในอนาคตเราคาดการณ์ว่า น่าจะใช้เจ้าหน้าที่ 1 คนต่อรถ 10 คัน” ซึ่งระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ก็จะลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรได้อย่างมหาศาล
โดยการเดินเกมส์นี้บริษัท Einride และ Schenker ได้นำหน้าคู่แข่งไปหลายก้าว ในปี 2015 บริษัท Freightliner บริษัทลูกของ Daimler ได้ขอเริ่มใช้งานรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติในรัฐ Nevada แต่บริษัทก็ได้รับใบอนุญาตให้ใช้งานได้ก็ต่อเมื่อมีคนขับรถนั่งไปในรถด้วยเท่านั้น บริษัท Tesla ก็ได้นำเสนอรถบรรทุกต้นแบบ Semi ในปี 2017 แต่รถบรรทุกดังกล่าวก็ยังต้องมีห้องคนขับอยู่ด้วยเช่นกัน แม้แต่บริษัทลูกของ Google บริษัท Waymo ก็ปล่อยให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของบริษัทเคลื่อนไหวพร้อมกับมีเจ้าหน้าที่เทคนิคนั่งร่วมไปด้วย ถ้าจะมีรถบรรทุกที่สามารถเทียบเคียงกับ T-Pot ได้ก็คงเป็นรถบรรทุกรุ่น Vera ของ Volvo เท่านั้นที่ปราศจากห้องคนขับ แต่รถบรรทุกรุ่นต้นแบบของ Volvo ก็ยังไม่มีใบอนุญาตให้สามารถใช้งานได้บนท้องถนนจนถึงปัจจุบันนี้
อย่างไรก็ตามนาย Robert Falck ผู้ก่อตั้งบริษัท Einride ก็ไม่ได้เห็นว่า การที่รถบรรทุกของเขาวิ่งได้ในระยะไกลเท่านั้น จะเป็นปัญหาในการขยายธุรกิจ และกล่าวว่า “การชาร์จพลังงานไฟฟ้านั้นแม้ว่าจะใช้เวลาสักหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เสียเวลาการใช้งาน” โดยจุดหมายในการใช้งานของรถบรรทุกรุ่นดังกล่าวนั้นเป็นการใช้งานในการเชื่อมต่อกับโรงงานการผลิตต่างๆกับโกดัง สำหรับการใช้งานในบริเวณกลางเมืองที่มีการจราจรซับซ้อน หรือพื้นที่ส่งสินค้าท้ายสุดนั้นก็ควรจะใช้รถบรรทุกแบบมีคนขับต่อไป ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าของ Einride ไม่ได้จบลงที่ Schenker แน่นอน โดยบริษัทจะเริ่มร่วม งานกับ Lidl ในช่วงปลายปีนี้ในการใช้รถบรรทุกส่งสินค้าให้ร้านสาขาในแถบชานเมืองก่อน อีกทั้งบริษัท SAS ก็มีความสนใจที่จะร่วมมือกับบริษัท Einride เช่นกัน
ที่มา: https://www.ditp.go.th/