CEO ARTICLE
161 ตู้หมูเถื่อน
วิกฤติเนื้อหมูเถื่อนจำนวน 161 ตู้ที่ตรวจพบครั้งนี้จะแก้ไขอย่างไร ?
ไม่น่าเชื่อว่า เนื้อหมูเถื่อนจำนวน 161 ตู้สินค้า (Container) จะถูกพบง่าย ๆ จากโครงการ “ท่าเรือสีขาว” ที่รณรงค์ให้ท่าเรือสะอาด ทันสมัย ขับขี่ปลอดภัยในช่วงสงกรานต์ 2566 ที่ผ่านมา
โครงการทำให้พบว่าท่าเรือแหลมฉบังมีตู้สินค้านับพัน ๆ ตู้ถูกทิ้งไว้นานนับปี และมีตู้หลายประเภท เช่น ตู้เก็บความเย็น (Reefer Container) ตู้เก็บสินค้าอันตราย (Dangerous Cargo) และตู้แห้งทั่วไป (Dry Container) มีทั้งตู้เปล่าและตู้ที่ยังมีสินค้าภายใน
ในกรณีตู้เปล่า หากไม่นำมาบรรจุสินค้าส่งออกก็ต้องส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง
เจ้าของตู้สินค้าและตัวแทนผู้ขนส่ง (Shipping Agent) บางรายขอขยายเวลาในการเก็บตู้เปล่าไว้ในท่าเรือ และบางรายอ้างว่าในตู้ยังมีสินค้าที่อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ
แต่การเก็บนานทำให้เกิดค่าเช่าพื้นที่ (Port Rent) สูง และเกิดข้อสงสัย
ยิ่งตรวจพบว่า ค่าไฟฟ้าในท่าเรือแหลมฉบังสูงมากกว่าปกติ สูงถึงเดือนละหลายหมื่นบาทก็ยิ่งสงสัยว่า ทำไมต้องเสียบปลั๊กทำความเย็น 24 ชั่วโมงให้ตู้สินค้านานมากขนาดนี้
สินค้าที่ยังไม่ผ่านพิธีการศุลกากรย่อมไม่มีผู้ใดเปิดตู้สินค้าได้นอกจากการแจ้งความ
ในที่สุดก็เกิดการสนธิกำลังร่วมระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบจนพบเนื้อหมูแช่แข็ง 161 ตู้สินค้าโดยสำแดงเท็จเป็นของแช่แข็งทั่วไปและเม็ดพลาสติก (คมชัดลึกออนไลน์ เผยแพร่ 07 ก.ค. 2566)
มูลค่าความเสียหายกว่า 460 ล้านบาท และเกี่ยวข้องกับ 11 บริษัทผู้นำเข้า และสายการเดินเรือ 17 ราย (MGR Online เผยแพร่ 12 ก.ค. 2566)
การตรวจสอบย้อนหลังพบว่า กลุ่มนี้เคยนำเข้าและสำแดงสินค้าต่าง ๆ ที่สงสัยจะเป็นเนื้อหมูเถื่อนมากถึง 2,385 ตู้สินค้า ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหมูส่วนที่ประเทศต้นทางไม่นิยมบริโภคหรือเหลือทิ้ง เช่น เนื้อส่วนที่ไม่ได้คุณภาพ เครื่องในหมู เป็นต้น
หากเป็นจริง เนื้อหมูเถื่อน 2,385 ตู้สินค้า น้ำหนักบรรทุกตู้ละ 29 ตันจะเป็นเนื้อหมูเถื่อนที่ไม่ผ่านการตรวจโรค ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภคถึง 69,165 ตัน หรือราว 69 ล้านกิโลกรัม ถูกปล่อยให้ซื้อขายราคาถูกในท้องตลาด ให้ประชาชนบริโภค เสี่ยงต่อโรคภัย เสี่ยงต่อชีวิต และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้เลี้ยงหมูของไทยอยู่ไม่ได้ ต้องเลิกอาชีพเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา
161 ตู้หมูเถื่อนที่ตรวจพบครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องหมู ๆ แต่เป็นวิกฤติที่ควรเร่งแก้ไข
การจับกุมในครั้งนี้ได้จำเลยตัวเล็กมากกว่า ส่วนตัวการใหญ่น่าจะลอยนวล
เนื้อหมูเถื่อน 161 ตู้สินค้ามีทั้งค่าเช่า ค่าเก็บรักษา และค่าไฟฟ้า การเก็บไว้นานเพื่อตรวจสอบทำได้ยาก เกิดการเน่าเสีย และในทางกฎหมายปกติก็ต้องถูกทำลาย
แต่ขบวนการทำให้เกิดเนื้อหมูเถื่อนลักลอบนำเข้ากลับไม่ถูกทำลาย กลับอยู่ยงคงกระพันมานานอย่างผิดปกติทั้งที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่า ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเนื้อหมูเถื่อนมาจาก 3 ปัจจัยเท่านั้น
1. โรค ASF (African Swine Fever) ในหมูระบาดในหลายประเทศรวมทั้งไทยทำให้หมูตายมากจนเนื้อหมูไม่เพียงพอต่อความต้องการต่อประชาชน และทำให้เนื้อหมูแพง
โรคระบาดในสัตว์เป็นเรื่องของกรมปศุสัตว์ เป็นเรื่องของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นเรื่องของรัฐบาล ในเมื่อเป็นเรื่องของรัฐบาลก็ต้องเป็นเรื่องการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากการเมืองไร้ความสามารถ โรค ASF ก็จะระบาดมากขึ้น ไม่มีวันหมดไป
2. ราคาอาหารสัตว์แพงทำให้ต้นทุนการเลี้ยงหมูแพง ราคาเนื้อหมูย่อมแพงไปด้วย
ราคาอาหารสัตว์เป็นเรื่องของกรมการค้าภายใน เป็นเรื่องของกระทรวงพาณิชย์ เป็นเรื่องของรัฐบาลและการเมือง หากการเมืองช่วยให้ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงไม่ได้ ราคาเนื้อหมูก็แพงตาม
3. ขบวนการลักลอบนำเข้าทำให้เกิดการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนอย่างง่ายดาย
จากข่าวมีผู้นำเข้า 11 รายและสายการเดินเรือ 17 ราย แต่ยังมีตัวแทนออกของ (Customs Broker) มีเจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่ท่าเรือ และอื่น ๆ ที่เป็นขบวนการใหญ่
ตัวละครมากมายทั้งรัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นขบวนการใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร !!!
สุดท้าย ข่าวก็เผยว่ามีคนใหญ่คนโตสั่งการ และยังมีนักการเมืองอักษรย่อ ป. ปลาอยู่เบื้องหลัง แน่นอน ป. ปลาย่อมปฏิเสธซึ่งอาจใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้
หากไม่ใช่การเมืองอยู่เบื้องหลัง ทั้งโรค ASF ราคาอาหารสัตว์ และทั้งขบวนการที่เป็นต้นเหตุก็ต้องถูกปราบไปนานแล้วเพราะใคร ๆ ก็รู้ปัญหา และการเมืองก็เป็นฝ่ายนำปัญหามาแก้ไข
แต่หากมีการเมืองอยู่เบื้องหลังจริง ขบวนการหมูเถื่อนคงเป็นละครฉากยาวต่อไป ไม่ว่าจะมีโครงการ “ท่าเรือสีขาว” หรือสีอะไรในอนาคตที่ทำให้ถูกตรวจพบ เนื้อหมูเถื่อนก็จะยังอยู่ต่อไป
ประชาชนเลือกการเมือง การเมืองเข้ามาแก้ไขปัญหาประชาชนจึงเป็นทั้งทฤษฏี เป็นความจริง และเป็นความฝันในเวลาเดียวกัน.
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
👉 Home and Health … https://www.inno-home.com
👉 Art and Design …… https://www.cose.life
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/
Date Published : November 28, 2023
Logistics
Magic Economy อีกหนึ่ง Soft Power ที่เปี่ยมศักยภาพของไทยในตลาดไต้หวัน
หลังจากที่เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา University of Exeter ของอังกฤษได้ประกาศเปิดหลักสูตรระดับปริญญาโทในสาขา Magic and Occult Science (ศาสตร์แห่งเวทมนตร์และไสยศาสตร์) ทำให้กระแสเกี่ยวกับเวทมนตร์และไสยศาสตร์ได้รับความสนใจไปทั่วโลกรวมถึงในไต้หวันด้วย
โดยมีการประมาณการว่ามูลค่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การดูดวง และการซื้อขายสินค้าเครื่องรางของขลัง คิดเป็นมูลค่ารวมทั่วโลกสูงถึง 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่มีผลการวิจัยในต่างประเทศชี้ว่า เมื่อ 20 กว่าปีก่อน จำนวนผู้ที่มีความเชื่อในเวทมนตร์และไสยศาสตร์ในสหรัฐฯ มีจำนวนประมาณ 134,000 คนเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2 ล้านกว่าแล้ว โดยที่บนแพลตฟอร์ม Etsy ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซสำหรับสินค้าออกแบบและไลฟ์สไตล์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ก็มีผู้ขายที่เน้นการขายสินค้าเกี่ยวกับ Magic Industry มากกว่า 36,000 ราย ในขณะที่ #WitchTok ก็มียอดคลิกชมสะสมเกือบ 50,000 ล้านครั้งบน Tiktok ด้วย
สำหรับ University of Exeter ซึ่ง J.K. Rowling นักประพันธ์ชื่อดังที่เป็นผู้แต่งนวนิยายเรื่อง Harry Potter เป็นศิษย์เก่าที่จบการศึกษาจากที่นี่ โดย University of Exeter ประกาศว่า หลักสูตรด้านศาตร์แห่งเวทมนตร์และไสยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย จะเริ่มเปิดสอนตั้งแต่ปีการศึกษา 2024 (เปิดเทอมเดือนกันยายน 2567) เป็นหลักสูตรที่ใช้เวลาเรียน 1 ปี ซึ่งจะมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเวทมนตร์และไสยศาสตร์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงวรรณกรรม ปรัชญา ละคร ศาสนาและความเชื่อต่างๆ ทั้งนี้
รศ.ดร. หนิ่วเจ๋อสวิน ประจำภาควิชาการโฆษณาของมหาวิทยาลัย Chinese Culture University ในไทเป
ชี้ว่า หากพิจารณาจากมุมมองด้านการตลาดแล้ว การประกาศเปิดหลักสูตรด้านเวทมนตร์และไสยศาสตร์ของ University of Exeter ถือเป็นการสร้างเอกลักษณ์และเป็นจุดขายที่สำคัญของทางมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดจากการที่ J.K. Rowling เป็นศิษย์เก่าของสถาบันแห่งนี้ จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงได้อย่างกลมกลืน ในขณะที่ ดร.เจิ้งอิ้นจวิน หัวหน้าภาควิชาศาสนศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Fu Jen Catholic University ก็ให้ความเห็นว่า การเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนในแบบนี้ ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการด้านจิตวิญญาณในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ จะต้องอยู่บนรากฐานที่เกี่ยวพันกับวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย จึงจะไปด้วยกันได้ โดยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ผู้สนใจจะทำการเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงทำให้เป็นการเรียนแบบไม่ครบถ้วน การที่สามารถใช้หลักทางวิชาการมารวบรวมสิ่งเหล่าอย่างมีรูปแบบและมีมาตรฐาน เชื่อว่าจะทำให้สามารถพัฒนาและต่อยอดให้เกิดโอกาสและสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ส่วนการเปิดหลักสูตรแบบเดียวกันนี้ในไต้หวันมีความเป็นไปได้สูง เพราะไต้หวันเองก็มีวัฒนธรรมท้องถิ่นในแบบตะวันออก ทั้งการทรงเจ้า ไหว้เจ้า รวมถึงการดูดวง และการซื้อขายวัตถุมงคลในแบบของตัวเองเช่นกัน
นอกจากนี้ ในงานแสดงสินค้า PINKOI Design Fest 2023 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับสินค้าออกแบบที่จัดขึ้นในไทเประหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็มีผู้ร่วมจัดแสดงที่เป็นหมอดูไพ่ทาโรต์ คือ Alp Kirin ซึ่งออกผลิตภัณฑ์เทียนหอมและน้ำหอมของตัวเอง และได้รับความสนใจจากผู้มาเยี่ยมชมงานเป็นจำนวนมาก โดยสินค้าของ alp-prophet มีวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มของ PINKOI ที่เป็นแพลตฟอร์มอี-คอนเมิร์ซชื่อดังของไต้หวันสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ของไต้หวันด้วย
ที่มา: TVBS / Business Weekly (November 20, 2023)
ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นของ สคต.
การเปิดหลักสูตรด้านเวทมนตร์และไสยศาสตร์อย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยอังกฤษในครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้กับโลกแห่งเวทมนตร์และไสยศาสตร์ไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งงมงาม เมื่อผ่านการค้นคว้าวิจัยทางวิชาการ ก็จะทำให้กลายเป็นสิ่งที่มีแบบแผนและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยที่ผ่านมา ชาวไต้หวันซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนที่มีทั้งการทรงเจ้าและไหว้เจ้า และนิยมนิยมไปไหว้พระพรหมเอราวัณในยามที่เดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศไทย ทำให้มีการตั้งศาลพระพรหมทั่วไต้หวันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้วัตถุมงคล เช่น พระเครื่องและตะกรุด ของไทยได้รับความนิยมในหมู่ชาวไต้หวันจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ดังจะพบเห็นร้านให้เช่าวัตถุมงคลของไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งช่องทางออนไลน์ คือ แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซและช่องทางออฟไลน์ คือ ร้านค้าที่ตั้งอยู่ใกล้กับศาลพระพรหมตามที่ต่างๆ และร้านค้าที่อยู่ตามตลาดนัดกลางคืนใหญ่ๆ การที่ไทยมีรากฐานทางวัฒนธรรมและมีความเชื่อท้องถิ่นที่สอดคล้องกับกระแสของ Magic Economy ทำให้หากสามารถสร้างแบบแผนและมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในเชิงวิชาการได้ เชื่อว่า จะกลายเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่มีศักยภาพของไทยในตลาดไต้หวันและตลาดเอเชียได้ ดังเช่นตัวอย่างของ Alp Kirin ที่แสดงให้เห็นว่า สินค้าออกแบบและไลฟ์สไตล์ที่ผ่านการ Blessing สามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้เป็นอย่างมาก เพราะมีทั้ง Story และการสร้างคุณค่าทางจิตใจ จึงถือเป็นความสอดคล้องต่อกระแสนิยมของการบริโภคสมัยใหม่ ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับคุณค่าที่มองไม่เห็นของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมากเช่นกัน
ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/154188
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!