SNP NEWS

ฉบับที่ 453

Follow Us :     เพิ่มเพื่อน  

CEO ARTICLE

ผู้นำร่ำรวย

‘คนอเมริกันเริ่มทนไม่ไหว’
‘ผู้นำโง่ตกเป็นเหยื่อสงครามการค้า’

ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์ฉบับวันศุกร์ที่ 24 พ.ค. 2562 หน้า 5 คุณลมเปลี่ยนทิศ ขึ้นหัวข้อข่าวข้างต้น
เนื้อหาพอสรุปได้ว่า สงครามการค้าที่ประธานาธิบปีทรัมป์ก่อขึ้น 10 เดือนเศษโดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% หวังบีบจีนให้มาเจรจา แต่กลับสร้างผลกระทบต่อผู้นำเข้าและประชาชนอเมริกันทั่วประเทศ
ล่าสุดก็ได้สั่งขึ้นบัญชีดำหัวเว่ยด้วยการสั่งห้ามบริษัทอเมริกันค้าขายด้วย และขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกจนทำให้ความอดทนของชาวอเมริกันสิ้นสุดลง บริษัท 170 แห่งร่วมกันทำจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดีทรัมป์
จดหมายเรียกร้องให้ปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐที่ทรัมป์กำลังจะทำลาย
ประเด็นหลักที่นำขึ้นมาโต้แย้งคือ วันนี้สินค้าจากจีนราคาถูกมาก เมื่อเข้าไปในสหรัฐก็ลดค่าครองชีพให้ชนชั้นล่างมาก คนอเมริกันและทั่วโลกต่างบริโภคสินค้าจีนที่มีราคาถูก
ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐก็นำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีน ผลสรุปการขึ้นภาษีสินค้าจีนก็เลยทำให้คนอเมริกันเดือดร้อนโดยเฉพาะชนชั้นล่างที่มีมากกว่า 200 ล้านคน
ด้านจีน เมื่อถูกต่อต้านก็ยิ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เร็วขึ้น มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรใหม่ ๆ ถึง 53,142 คำร้องกลายเป็นที่ 2 ของโลก วิ่งไล่สหรัฐที่เป็น 1 ของโลกที่มี 56,142 คำร้อง
สุดท้าย ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ถอนคำสั่งแบนหัวเว่ยออกไปอีก 90 วัน หลังจากที่ออกคำสั่งไปไม่ทันข้ามวัน
แล้วบทความก็สรุปว่า ถือเป็น “ความโง่เขลา” อีกเรื่องของผู้นำสหรัฐ
ทรัมป์ต้องการบีบจีนโดยอาจลืมผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ แน่นอนการขึ้นภาษีย่อมทำให้การนำเข้า การส่งออก อุตสาหกรรม ธุรกิจกิจต่าง ๆ และกิจกรรม Logistics ได้รับผลกระทบตามไปด้วยไม่ใช่แต่เพียงในสหรัฐ แต่ทั่วโลกรวมถึงไทยด้วย
ไม่มีใครตอบได้ว่า ทรัมป์มองออกหรือมองไม่ออก แต่ได้ทำไปแล้ว
ในอดีตทรัมป์คือพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยจากธรุกิจ ความสำเร็จสามารถได้มาจากการบริหารในสไตล์ทุบโต๊ะตามใจตนเองเท่าที่วิสัยทัศน์จะมองออก
แต่การบริหารประเทศไม่อาจเป็นเช่นกัน การบริหารประเทศไม่อาจทุบโต๊ะตามใจผู้นำได้
การบริหารประเทศด้วยการทุบโต๊ะหรือการใช้ความคิดผู้นำเป็นใหญ่ ทำให้ขาดความรอบครอบ และมีผลกระทบตามมามากอย่างกรณีทรัมป์
การบริหารประเทศจำเป็นต้องฟังความให้รอบด้านจากทุกฝ่ายก่อนดำเนินการ
พ่อค้าที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจจึงเป็นพ่อค้าฉลาด เป็นผู้นำร่ำรวย แต่เมื่อพ่อค้าเป็นนักการเมืองก็อาจนำประเทศให้เสียหายกลายเป็นผู้นำโง่เขลาในพริบตาก็ได้
ทรัมป์เป็นผู้นำร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองจากธุรกิจมหาศาลแต่กลับยากจนความดีงามจากการบริหารประเทศ
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่นำขึ้นมาต่อต้านพ่อค้านักธุรกิจที่เป็นผู้นำร่ำรวย เมื่อพยายามจะเปลี่ยนตัวเองให้มาเป็นนักการเมือง

หันมาดูประเทศไทย
ประเทศไทยก็เคยมีผู้นำที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองแต่เป็นผู้นำประเทศยากจนความดีงาม ขณะเดียวกันก็มีผู้นำที่ยากจนทรัพย์สินเงินทอง แต่ร่ำรวยความดีงามที่ต่างกันราวฟ้าดิน
นั่นคือพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ตำนานผู้นำร่ำรวยความดีงามของไทยเกิดขึ้นในวันที่ 3 มี.ค. 2523 สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 โดยดำรงตำแหน่งถึง 3 ส.ค. 31 ซึ่งเป็นผู้นำถึง 3 สมัยก่อนการประกาศยุบสภา
ภายหลังการเลือกตั้ง ท่านก็ได้รับเชิญขึ้นเป็นผู้นำประเทศอีก แต่ท่านกลับกล่าวคำว่า “ผมพอแล้ว” และยุติบทบาทการเป็นผู้นำในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี 5 เดือนนับแต่นั้นมา
ตลอดเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้นำฯ ปัญหาบ้านเมืองมากมายได้รับการแก้ไข ปัญหาพลังงาน ปัญหาคอมมิวนิสต์ด้วยนโยบาย “การเมืองนำการทหาร” ตามคำสั่ง 66/2523 จนเป็นพื้นฐานความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองให้แก่รัฐบาลในยุคต่อ ๆ มา
พลเอกเปรมถือว่าเป็นผู้นำที่ร่ำรวยความดีงามที่สุดของไทยและของโลกคนหนึ่ง
จากปี 2531 ที่ท่านลงจากตำแหน่งผู้นำ ประเทศไทยก็เข้าสู่ช่วงรุ่งเรืองมากจนถึงปี 2549 ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่กลายเป็นวิกฤติอย่างต่อเนื่อง แต่ท่านก็เป็นเสาหลักยืนค้ำยันไว้
หากจะแบ่งแยกหรือหากจะทำลายประเทศต้องทำลายท่านให้ได้ก่อน
ช่วงวิกฤตินั้น พลเอกเปรมจึงถูกผู้ไม่หวังดีลากให้เป็นคู่ขัดแย้งเพื่อสร้างความแตกแยก แต่นอกจากท่านจะนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ แต่คนไทยจำนวนมากและกองทัพต่างปกป้องท่าน
ความดีงามของท่านกลายเป็นเสาหลักให้ประเทศไทยยืนมั่นจนถึงปัจจุบัน
ในที่สุด ท่านก็จากไปในวันที่ 26 พ.ค. 2562 สิริอายุ 99 ปี และได้รับการเปิดเผยจากนายทหารคนสนิทว่า ท่านทำงานเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์จนนาทีสุดท้าย
ส่วนทรัพย์สินเงินทองส่วนใหญ่ของท่านที่ได้มาจากเงินเดือน ท่านแทบไม่ได้ใช้อะไรเลยทั้งชีวิต และต้องการนำไปบริจาคช่วยคนยากจนและสาธารณะกุศลทั้งหมด
หากจะเปรียบเทียบนักการเมืองเลวกับท่านจะพบว่า นักการเมืองเลวที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินนับหมื่น นับแสนล้าน แต่ท่านไม่มีแม้แต่บ้านของตัวเอง นักการเมืองเลวคิดเพื่อตนเองก่อน แต่ท่านแม้เสียชีวิตแล้วยังมอบทุกอย่างให้ประเทศ
มันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เกิดเป็นคนไทยต้องตอบแทนแผ่นดิน” เป็นคำสอนของท่าน แล้วพลเอกเปรมก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่า ท่านเกิดมาเพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดินโดยแท้
คำว่า “ผมพอแล้ว” กลายเป็นคำอันยิ่งใหญ่เรื่อยมา พลเอกเปรมเป็นผู้นำร่ำรวยความดีงาม ไม่ใช่ร่ำรวยทรัพย์สิน คิดถึงแต่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่โดยไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย
ตำนานพลเอกเปรมได้ถูกปิดลงท่ามกลางความอาลัยของคนที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นับแต่นี้ไป
แล้วอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในปี 2562 ???
วันนี้ ประเทศไทยเริ่มมีนักการเมืองที่เป็นพ่อค้าร่ำรวยแต่กลับยึดอัตตาตนเอง ไม่นำพาหลักการ เหตุผล และหลักกฎหมาย
นักการเมืองที่เอาแต่คิดจะใช้เสียงข้างมาก เอาแต่ลากถูกความคิดตนเอง นักการเมืองที่เป็นผู้นำร่ำรวยทรัพย์สินกลางฝูงชนมากกว่าการเป็นผู้นำเพื่อประชาชน
ระหว่างการรณรงค์หาเสียงและหลังการเลือกตั้ง 22 มี.ค. 2562 ก็พบว่าการเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น เอาแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่ใส่ใจสิ่งที่ไม่ควร และพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของ ส.ส. รุ่นเก่าที่น่าจะหมดไปกลับยังอยู่
แต่ลีลา ท่าทาง และโวหารกลับยิ่งหนัก ยิ่งมากกว่าเดิม
นักการเมืองที่คล้ายทรัมป์เริ่มเพิ่มมากขึ้นในไทย แต่นักการเมืองร่ำรวยความดีงามแบบพลเอกเปรม ผู้ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มาก่อนตนเองกลับมองเห็นลำบาก
พฤติกรรมการแก่งแย่งผลประโยชน์ของนักการเมืองนำไปสู่ความแตกแยก และจะชักจูงประชาชนให้ก่อความวุ่นวาย
สุดท้ายก็จบลงด้วยการรัฐประหารอีก
ถามว่า วันนี้ประชาชนชาวไทยต้องการผู้นำร่ำรวยเงินทองแบบทรัมป์ หรือต้องการผู้นำร่ำรวยความดีงามแบบพลเอกเปรม ???
ความจริงที่เห็นวันนี้คือ ประชาชนเลือก ส.ส. แบบไหน ประเทศไทยก็จะได้ผู้นำแบบนั้นและจะถูกบรรดา ส.ส. ลากประเทศไทยไปทางนั้นตามไปด้วย
วันนี้ประเทศไทยไม่ได้ต้องการผู้นำร่ำรวยเงินทองแบบทรัมป์ที่สร้างความแตกแยก สร้างปัญหาให้ประเทศ แต่ต้องการผู้นำที่ร่ำรวยความดีงามแบบพลเอกเปรมต่างหาก
ขอไว้อาลัยต่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้นำที่ร่ำรวยแต่ความดีงามของประเทศไทยด้วยความเคารพยิ่ง
ท่านจะอยู่ในใจคนไทยที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตลอดไป

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร

LOGISTICS

สหไทยเทอร์มินอลคว้าลูกค้าใหม่ VASI สายเรือสิงคโปร์ คาดดันผลประกอบการเติบโตแรง

บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) คว้าลูกค้าใหญ่รายใหม่ สายเรือฟีดเดอร์ VASI สัญชาติสิงคโปร์ คาดดันผลประกอบการเติบโตแรง
คุณเสาวคุณ ครุจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญากับลูกค้าสายเรือรายใหม่ สายเรือ VASI จากประเทศสิงคโปร์ โดยเริ่มเข้าเทียบท่าเรือสหไทย ตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีปริมาณการขนส่งคอนเทนเนอร์ของสายเรือ VASI ประมาณ 1,600 ทีอียูต่อเดือน จึงคาดว่า Volume ของสหไทยปีนี้จะเติบโตขึ้นกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการให้บริการกับสายเรือ VASI เน้นไปที่สินค้าประเภทปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ โดยมีเส้นทางจากไทยไปยังท่าเรือจิตตะกอง บังกลาเทศโดยตรง ซึ่งถือเป็นเส้นทางที่มีความต้องการในตลาดอย่างมาก

คุณเสาวคุณ ครุจิตร กล่าวต่อว่า “ถึงแม้ตัวเลขการส่งออกใน 2 เดือนแรกของไทยจะปรับลดลง แต่ในภาพรวมทั้งปี ทางบริษัทฯ ก็ยังคาดว่าผลประกอบการทั้งปีจะเป็นไปตามแผนที่ได้ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน โดยจะเห็นว่าในสองเดือนแรกปริมาณการให้บริการของบริษัทฯ ก็ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของบริการท่าเรือชายฝั่ง อีกทั้งโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงและจัดเก็บตู้สินค้า (container depot) ของบริษัทย่อย BCDS (บจก. บางกอก คอนเทนเนอร์ เดโป เซอร์วิส) ซึ่งได้เปิดให้บริการไปเมื่อปีก่อน ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับท่าเรือได้เพิ่มการขนส่งทางรถมาเพื่อดึงให้สายเรือที่ต้องการบริการที่ครบวงจรเข้าใช้บริการที่ท่าสหไทยฯ เพิ่มขึ้น จึงช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้อีกทางหนึ่ง”

บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการท่าเรือเอกชนครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย โดยให้บริการตั้งแต่ 1.ธุรกิจการให้บริการท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์ครบวงจร สำหรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (feeder) และเรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง (barge) รวมถึงการให้บริการบรรจุสินค้าเข้าและถ่ายสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (CFS)และซ่อมแซมทำความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์ (container depot) 2. ธุรกิจการให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางบก ภายในบริเวณจังหวัดกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และบริเวณเขตพื้นที่แหลมฉบัง 3. ธุรกิจการให้บริการพื้นที่จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้าโดยให้บริการพื้นที่ลานพักตู้คอนเทนเนอร์ และจัดเก็บสินค้าคลังสินค้ากับลูกค้า ทั้งที่เป็นเขตให้บริการปกติและปลอดภาษีอากร (Free Zone) ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯให้บริการแก่กลุ่ม ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกกลุ่มธุรกิจ e-commerce และอีกหลากหลายอุตสาหกรรม 4.ธุรกิจการให้บริการเกี่ยวเนื่องอื่นๆ อาทิ การให้บริการ Freight Forwarding เป็นต้น

ที่มา: http://thai.logistics-manager.com