SNP NEWS
ฉบับที่ 396
Article
“คนขี้อิจฉา”
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง ฯ
ใครที่ได้เรียนวรรณกรรมไทยต้องจำโคลงข้างต้นได้ โครงนี้เขียนโดยศรีปราชญ์ในสมัยพระนารายณ์มหาราช
ศรีปราชญ์เป็นบุคคลที่มีความสามารถด้านกวี และเพราะความสามารถที่โดดเด่นนี่เองจึงตกเป็นเป้าทำลายของคนขี้อิจฉา แล้ววันหนึ่งก็ถูกเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชสั่งประหารชีวิตจนได้
ในวรรณกรรมเล่าว่า ศรีปราชญ์ถูกสั่งประหารทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด แต่ก่อนที่จะถูกดาบประหาร ศรีปราชญ์ได้เขียนโคลงดังกล่าวขึ้น
จากนั้นไม่นาน พระนารายณ์ทรงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงรับสั่งให้ใช้ดาบเล่มเดียวกันประหารเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชกลับคืนซึ่งเป็นไปตามโคลนประโยคสุดท้าย
ดาบนั้นคืนสนอง ฯ
จากบัดนั้นมาถึงบัดนี้ ไม่มีใครยืนยันว่าคนไทยเป็นคนขี้อิจฉามากขึ้นหรือน้อยลง แต่หากพิจารณาผลงานวิจัยจากสถาบันวิจัยฝรั่งเศสในช่วงที่ผ่านมา กลับเป็นการตอกย้ำความขี้อิจฉาของคนไทยยังไม่จางหาย
งานวิจัยชี้ว่า คนไทยมีวัฒนธรรม 4 ลักษณะ ประกอบด้วย ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้โอ้อวด และขี้อิจฉา (www.board.postjung.com)
3 ลักษณะแรกสามารถเห็นได้ง่ายทางกายภาพ แต่ความอิจฉากลับซ่อนอยู่ภายใน มองเห็นได้ยากจึงเป็นสิ่งน่ากลัวที่สุด
คนขี้อิจฉามักรู้สึกตนเองมีปมด้อยและคอยน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยเหตุนี้คนขี้อิจฉาจึงทำอะไรลงไปก็ได้โดยที่ตนเองไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการโกหกจนเป็นนิสัย การไม่รักษาคำพูด การเอาแต่ได้ หรือการโอ้อวดให้ผู้อื่นเห็นก็ตาม
ความอิจฉามักเกิดขึ้นกับคนที่มีคุณงามความดีในตัวน้อยกว่าคนอื่น โดยคนขี้อิจฉาไม่เคยมองตัวเองออก ไม่เคยคิดแก้ไขตนเองนอกจากโทษผู้อื่นเท่านั้น (www.intaram.org)
หากคนมีคุณงามความดีอยู่ในตัวมากกว่าคนอื่น เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาผู้ใด
นี่คือความจริง
คนขี้อิจฉาจึงชอบเอาแต่ใจตนเอง ไม่เคารพกติกา ไม่เคารพส่วนรวม เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีก็มักจะทนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน การมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ การขับรถคันใหม่ รูปร่างหน้าตา ความสวย หรือการประสบความสำเร็จด้านต่าง ๆ
เมื่อใดที่คนขี้อิจฉาเห็นหรือรู้ คนขี้อิจฉาจะต้องทำทุกวิธีทางเพื่อเอาชนะให้ได้ หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งหรือการติดสินบน
ดังนั้น คนขี้อิจฉาต่อให้มีอะไรต่ออะไรที่พร้อมแล้ว ไม่ว่าจะมีบริวาร มีเงินทองใช้เหลือเก็บ มีความสวย หรือมีครอบครัวที่ดีแต่ก็ไม่เคยพอและมักมองว่า ทำไมใคร ๆ ก็ไม่รัก
คนขี้อิจฉาแทนที่จะถามว่าทำไมใคร ๆ ถึงไม่รัก แต่กลับเที่ยวไปโกรธเคืองคนอื่น และเที่ยวไปอิจฉาคนที่มีคนรักเต็มบ้านเต็มเมืองโดยไม่เคยสำรวจตัวเอง
เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น คนขี้อิจฉาจึงไม่เคยโทษตัวเองว่าผิดเลย
คนขี้อิจฉาจึงสามารถใช้วิธีสกปรกโดยไร้คุณธรรม กลั่นแกล้ง หรือใช้วิชามารด้านต่าง ๆ สอดคล้องกับบทความของ ดร. แพง ชินพงศ์ (www.manager.co.th,Family,ViewNews) ที่กล่าวว่า
“คนขี้อิจฉา เป็นคนที่มีความอยากและความปรารถนาที่จะได้ดีมากกว่าคนอื่นและไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตนเอง และเมื่อไม่เป็นไปอย่างที่อยากให้เป็นก็เกิดอาการโกรธ เกลียด กลัว มืดมัว อ้างว้าง
บางคนมีอาการหนักถึงขนาดที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตนเองแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางทำลายหรือทำร้ายคนที่ตนเองอิจฉาริษยาให้ต้องมีเหตุย่อยยับไป
ดังนั้น คนขี้อิจฉาจึงเป็นคนที่น่ากลัวและมีปะปนอยู่มากมายในสังคม หลายครั้งที่คนเหล่านี้สร้างปัญหาเปรียบเหมือนดังจุดไฟเผาคนรอบข้างและสังคมให้วอดวาย ทำลายทุกอย่างได้เพราะเพียงใช้ใจที่คับแคบของตนเองเป็นตัวตัดสินทุกอย่างในชีวิต”
หากเป็นไปตามงานวิจัยและบทความข้างต้นจริง วันนี้ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นทางสังคม ธุรกิจ และการเมืองก็น่าจะมีคนขี้อิจฉาปะปนอยู่จำนวนไม่น้อย
ในสังคมคนทำงาน หากคนขี้อิจฉาเป็นหัวหน้างาน เขาก็คงยึดมั่นแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่โดยไม่ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น คนขี้อิจฉาจึงชอบการแบ่งแยกลูกน้องเพื่อแยกปกครองให้ตนเองดูเด่น
คนขี้อิจฉามักชอบลูกน้องที่คอยประจบเอาใจ และมักกลั่นแกล้งเกลียดชังลูกน้องที่ไม่ประจบสอพลอ
แต่หากคนขี้อิจฉาเป็นลูกน้อง เขาก็จะพยายามเปรียบเทียบและวัดรอยเท้าเจ้านายตนเองอย่างไม่ให้ความเคารพจนเป็นปัญหาในการทำงาน
ในทางธุรกิจ องค์กรบางแห่งปฏิบัติต่อพนักงานด้วยความสุข บางเรื่องพนักงานได้รับมากกว่ากฎหมายกำหนด ขณะที่บางเรื่องได้รับน้อยกว่า
หากองค์กรแห่งนี้มีคนขี้อิจฉาปะปนอยู่ การกลั่นแกล้งโดยการยืมมือหน่วยงานของรัฐให้เข้ามาจัดการก็มักเกิดขึ้นได้ง่ายจนทำลายความสงบสุขของส่วนรวม
หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกรมแรงงาน กรมสรรพากร กรมศุลกากร หรืออื่น ๆ ที่ได้รับการร้องเรียนจึงมักตกเป็นเครื่องมือของคนขี้อิจฉา
เจ้าพนักงานบางคนมีธรรมาภิบาลที่ดี พอเข้าใจเรื่องราวการกลั่นแกล้งก็ให้ความช่วยเหลือแนะนำวิธีการให้เป็นไปตามหลักกฎหมายโดยไม่ถือเป็นความผิด
ตรงกันข้าม เจ้าพนักงานของรัฐบางคนกลับทำตัวเป็นเครื่องมือของคนขี้อิจฉาจนสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายที่ไม่ต่างอะไรไปจากการประหารศรีปราชญ์
เพียงรอวันดาบนั้นจะคืนสนองเท่านั้น
ในทางการเมืองวันนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านทั้งในหรือนอกสภา หรือฝ่ายแค้นที่จ้องแต่การล้างแค้นก็คงต้องมีนักการเมืองขี้อิจฉาที่คอยทำลายประเทศปะปนอยู่
ไม่มีใครรู้ว่านักการเมืองที่มีความอิจฉาซ่อนอยู่ภายในแต่ละคน จะมีหน้าตาอย่างไรและเขาเหล่านี้กำลังทำอะไรอยู่
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น หากความอิจฉายังคงอยู่คู่กับประเทศไทยอย่างไม่ลดลง ผู้บริหารองค์กรและนักการเมืองของไทยก็คงมีคนขี้อิจฉามากขึ้นอย่างน่าตกใจ
แม้คนขี้อิจฉาจะต้องมอดไหม้ลงไปในวันหนึ่งตามกฎแห่งกรรม แต่ความเจริญของประเทศไทยส่วนหนึ่งกลับถูกแขวนในมือของนักการเมืองขี้อิจฉาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากดาบของศรีปราชญ์สามารถคืนสนองได้จริง คนขี้อิจฉาที่ทำลายทั้งสังคม ธุรกิจ และการเมืองก็คงจะต้องได้รับเคราะห์กรรมตอบสนองคืนในวันหนึ่งเช่นกัน
สิทธิชัย ชวรางกูร
The Logistics
แอร์เอเชียจับมือเกษตรฯเปิด Cargo Terminal
นายพีรกันต์ แก้ววงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการด้านโลจิสติกส์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า สายการบินไทยแอร์เอเชียมีแผนในการเปิดให้บริการขนส่งสินค้าทางเกษตรทางอากาศ เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจการส่งออก โดยเน้นกลุ่ม เป้าหมายธุรกิจขนาดย่อม (SMEs) คาดว่าในการขนส่งสินค้าทางอากาศจะสามารถลดต้นทุนได้มากกว่า 30% เมื่อเทียบกับการขนส่งทั่วไป รวมถึงเป็นการพัฒนาระบบบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ เพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าภาคการเกษตรไปสู่ตลาดอาเซียนและตลาดโลก โดยการขนส่งสินค้าทางอากาศมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้สายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้ร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการจัดตั้ง “ศูนย์บริการส่งออกสินค้าเกษตรแบบเบ็ดเสร็จ” (Export Agricultural Products Quarantine One Stop Service) หรือ Cargo Terminal ใช้งบลงทุน 200 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3 ปี เพื่อให้บริการผู้ประกอบการในการขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2559 จากเดิมที่กำหนดไว้เดือนตุลาคม 2558 เนื่องจากติดปัญหาการส่งมอบพื้นที่ในท่าอากาศยานดอนเมืองของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. โดยได้ทำ สัญญาเช่าพื้นที่คลังสินค้าแบบสัญญา 3 ปี ต่อ 3 ปี จากที่เสนอไป 10 ปี
สำหรับในการประกอบธุรกิจขนส่งสินค้าในระดับประเทศ จะเป็นในรูปแบบของ Air Cargo หรือการใช้เครื่องบินในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะ เช่น DHL และ FedEx ซึ่งการต่อยอดธุรกิจดังกล่าว เป็นการสร้างรายได้มูลค่ามหาศาล โดยสายการบินไทยแอร์เอเชียได้อาศัยสิ่งที่ดำเนินการอยู่มาพัฒนาเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร
โดยสินค้าภาคการเกษตรประเภท พืช ผัก ผลไม้ และอาหาร จะต้องใช้ความรวดเร็วในการขนส่ง เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า ซึ่งปัจจุบันมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกสินค้าทางการเกษตรของไทยมีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท จากเที่ยวบินในแต่วันของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่มีอยู่มากกว่า 200 เที่ยวบิน จะมีพื้นที่ว่างบริเวณท้องเครื่องบินที่สามารถใช้ในการขนส่งสินค้าได้ประมาณ 3 ตันต่อลำ รองรับได้ 600 ตันต่อวัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากเปิดให้บริการ Cargo Terminal แล้ว ในปีแรกจะมีปริมาณการขนส่ง 200 ตันต่อวัน หรือ 72,000 ตันต่อปี โดยตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 10% ในปีถัดไป มองจีนเป็นตลาดหลัก ส่วน เป้าหมายรองลงมา คือ ญี่ปุ่น และเกาหลี
ที่มา : http://www.ryt9.com/s/nnd/2356431
AEC Info
สิงคโปร์ยังครองแชมป์ศูนย์กลางการจัดตั้งบริษัท แม้จำนวนโดยรวมในไตรมาส 4 ปรับตัวลดลง
สิงคโปร์มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2558 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 16,612 แห่ง ลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นไปตามทิศทางปกติของไตรมาสสุดท้ายในแต่ละปี
การจัดตั้งบริษัทในสิงคโปร์มีจำนวนลดลงในช่วงไตรมาส 4 อย่างไรก็ดี บริษัทและนักลงทุนต่างชาติยังคงจัดตั้งบริษัทหรือบริษัทย่อยในสิงคโปร์อย่างต่อเนื่อง แม้ในยามที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
แม้จำนวนการจัดตั้งธุรกิจจะร่วงลง 7.9% ในไตรมาสดังกล่าว แต่ก็ถือเป็นแนวโน้มปกติเช่นเดียวกับทุกปีที่มีการสำรวจก่อนหน้านี้ ยกเว้นปี 2557 ที่พบความผิดปกติ โดยในปี 2558 นั้น มีการจัดตั้งธุรกิจทั้งสิ้น 16,612 แห่ง ขณะที่ตัวเลขของปี 2557 อยู่ที่ 20,540 แห่ง
แม้ปี 2558 ปิดฉากลงไปอย่างเงียบเหงาซบเซา โดยเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกยังคงต้องดิ้นรนรักษาระดับการฟื้นตัว แต่ถึงกระนั้นจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในสิงคโปร์ยังคงอยู่ในกรอบปกติสำหรับช่วงไตรมาส 4 แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกอ่อนแรง ซึ่งถือเป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนความแข็งแกร่งโดยรวมของสิงคโปร์
การจัดตั้งธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปในรูปแบบบริษัทเอกชนจำกัด คิดเป็นสัดส่วน 48.8% ของการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด โดยมีบริษัทเอกชนจำกัดประเภท Non-Exempt จำนวน 1,421 แห่งจัดตั้งขึ้นในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งตอกย้ำชื่อเสียงของสิงคโปร์ในฐานะประเทศที่ส่งเสริมภาคธุรกิจ
สำหรับสัดส่วนบริษัทต่างชาติยังคงอยู่ที่ 35% ในไตรมาส 4 และเป็นระดับคงที่เมื่อเทียบกับปี 2557 ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของบริษัทและนักลงทุนต่างชาติในสิงคโปร์
แจ็คเกอลีน โลว์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Hawksford Singapore กล่าวว่า “จำนวนบริษัทจัดตั้งใหม่ที่ลดลงในไตรมาส 4 ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของไตรมาสสุดท้ายในปีก่อนๆ ยกเว้นปี 2557 สำหรับภาพรวมตลอดทั้งปี 2558 ถือว่าดีทีเดียวในแง่ของการจดทะเบียนธุรกิจ”
สิงคโปร์ยังคงดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติได้อย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยชาวต่างชาติยังคงอยู่ที่ 28% ในไตรมาส 4 ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมาจากสิงคโปร์ จีน และมาเลเซีย
แจ็คเกอลีน โลว์กล่าวเสริมว่า “สิงคโปร์ยังคงสามารถดึงดูดบริษัท นักลงทุน และผู้ประกอบการต่างชาติ เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจที่เข้มแข็ง ตลอดจนจุดแข็งในฐานะศูนย์กลางการเงินและการค้า อย่างไรก็ตาม เราควรตระหนักว่า สิงคโปร์นั้นใช่ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากภาวะเศรษฐกิจโลก”
ที่มา : http://www.ryt9.com/s/anpi/2358269
คุยข่าวเศรษฐกิจ
คาดส่งออกทยอยฟื้นตัวทั้งปีโตได้5%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ส่งออก 2 เดือนโตเป็นบวกได้ 0.2% เป็นสัญญาณที่ดี คำสั่งซื้อทยอยกลับ คาดทั้งปีโต 5%ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า มูลค่าการส่งออกเดือนก.พ. 2557 ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ สามารถพลิกกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งที่ร้อยละ 2.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) คิดเป็นมูลค่า 18,363 ล้านดอลลาร์ฯ ดีขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ 1.98 (YoY) ในเดือนม.ค.2557 โดยแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นผลมาจากมูลค่าส่งออกทองคำที่ขยายตัวค่อนข้างสูง (หากไม่นับรวมทองคำ การส่งออกในเดือนก.พ. จะขยายตัวร้อยละ 0.3 YoY) แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในคู่ค้าสำคัญของไทย (ทั้งสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อาเซียน ออสเตรเลีย และจีน) ซึ่งช่วยหนุนการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างรถยนต์/อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์/ส่วนประกอบ อัญมณี/เครื่องประดับ และแผงวงจรไฟฟ้า
ที่มา : http://www.posttoday.com/economy/research/285977