SNP NEWS
ฉบับที่ 407
มองอย่างหงส์ BY CEO
“ฮ่องกงนองปิง”
“ทำไมแถวยาวจังแล้วคนเยอะมากเลย”
“คิวที่ต่อแถวยาว ๆ นั้นสำหรับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวทั่วไปครับ หากเป็นกรุ๊ปทัวร์เขาให้ไปก่อนโดยเข้าคิวช่องนี่ครับ”
“เขาให้ไปก่อน นี่เขาอำนวยความสะดวกให้กรุ๊ปทัวร์ขนาดนี้เลยหรือ ???”
“มันเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของฮ่องกงครับ”
วันศุกร์-จันทร์ที่ 25-28 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดยาวในเทศกาล Easter ของเกาะฮ่องกงที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว
ปกติผมไม่ชอบกรุ๊ปทัวร์เพราะยามพักผ่อนหรือท่องเที่ยวผมชอบสบาย ๆ มากกว่า หากไปสถานที่ใดแล้วชอบก็อยากอยู่นาน ๆ เช่น ทะเลสาปฮาโกเน่ในญี่ปุ่นที่สามารถอยู่ได้เป็นวัน ๆ แต่หากไม่ชอบก็จะเปลี่ยนไปที่อื่นโดยเร็ว
การไปกับกรุ๊ปทัวร์ต้องมีความเกรงใจเพื่อนร่วมคณะจึงไม่ตอบโจทย์ในข้อนี้
แต่ช่วงเวลานั้น ผมกลับนึกสนุกยอมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกรุ๊ปทัวร์คณะนั้นด้วย จึงลองยอมอยู่ในวินัยสักครั้ง
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2559 ช่วงเช้าท่ามกลางอุณหภูมิเฉลี่ย 16-17 องศา อากาศกำลังเย็นสบายด้วยความสุข ไกด์ทัวร์พาคณะผมไปต่อแถวเตรียมขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปยังเกาะลันเตาเพื่อไปนมัสการหลวงพ่อเทียนถัน วัดโปหลิน บนที่ราบสูงนองปิง
มันเป็นวันหยุดยาวของฮ่องกง แล้วผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าคนฮ่องกงต้องต่อคิวยาวมาก ๆ
แต่กรุ๊ปทัวร์ได้สิทธิพิเศษตามคำสนทนาข้างต้น
คณะของผมเป็นกรุ๊ปเล็ก จึงใช้เวลารอไม่ถึง 30 นาทีก็ได้ขึ้นกระเช้ากันครบทุกคน
เมื่อกระเช้าลอยข้ามทะเลสาปและหุบเขาหลายลูก ทัศนียภาพที่ปรากฎเบื้องล่างเป็นไปอย่างสวยงามไม่ว่าจะเป็นอ่าว ทะเล ป่าเขา อาคารบ้านช่อง หรือสนามบิน
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเบื้องล่างยังเป็นทางเดินขึ้นเขาที่จัดทำให้เกิดความสะดวกสำหรับคนแข็งแรงที่ต้องการเดินขึ้นเขา
แล้วสิ่งไม่น่าเชื่อก็ได้เห็นกับตา เมื่อคนจำนวนหนึ่งเดินขึ้นเขาเป็นระยะ ๆ แม้จะต้องใช้เวลาเดินถึง 4-5 ชั่วโมงในการเดินก็ตาม
ใครอยากเดินก็เดินไป ใครอยากนั่งกระเช้าก็เสียเงินขึ้นไป แถมกรุ๊ปทัวร์ยังได้สิทธิพิเศษในช่องที่ไม่ต้องต่อคิวยาวมาก ๆ
หากวันนี้ นองปิงไม่มีกระเช้าไฟฟ้า คนพิการ คนชรา หรือคนป่วยก็ย่อมเดินขึ้นไม่ได้
การท่องเที่ยวก็จะสะดุดหยุดลงทันที
ฮ่องกงในวันนี้กลับมาอยู่ในอาณัติของจีนย่อมไม่มีอิสระทางความคิดมากนัก ฮ่องกงจึงต้องได้รับอิทธิพลด้านวิสัยทัศน์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตจากจีนไม่มากก็น้อย
การกำหนดวิสัยทัศน์ให้ไกล และการใช้ระบบบริหารจัดการให้ไปถึงที่วิสัยทัศน์ที่มองเห็นก็ยีงคงมีและทำให้ฮ่องกงยังคงเจริญก้าวหน้าแซงหลาย ๆ ประเทศ
การไปกรุ๊ปทัวร์ครั้งนี้จึงได้ทั้งความสะดวก ความเพลิดเพลิน และความรู้ในเวลาเดียวกัน
หลังวันหยุด Easter ของฮ่องกงไม่กี่วัน ทางการจีนก็ประกาศวิสัยทัศน์ขึ้นมาใหม่อีก
คราวนี้จีนประกาศจะเป็นมหาอำนาจทางฟุตบอลให้ได้ในปี 2050
จากนั้น ข่าวการทุ่มเทให้กับฟุตบอลของจีนก็เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ที่ตามมาด้วยการซื้อนักเตะต่างชาติด้วยการจ่ายค่าตัวแพง ๆ
จีนกำหนดปี 2050 ที่ห่างไกลจากปัจจุบันปี 2016 ไปถึง 34 ปี
มันหมายความว่า จีนไม่ได้หวังเด็กรุ่นนี้จะนำจีนไปสู่มหาอำนาจทางฟุตบอล และก็ไม่ได้หวังจากเด็กที่เกิดในปีนี้ หรืออีก 10 ปี ข้างหน้าอย่างแน่นอน
แต่จีนกลับตั้งความหวังจากเด็กที่จะเกิดในปี 2030 ขึ้นไปซึ่งเมื่อถึงปี 2050 เด็กรุ่นนี้จะเริ่มมีอายุ 20 ปี
เขากำหนดวิสัยทัศน์กันยาว ๆ กันอย่างนี้ จากนั้นก็สร้างระบบบริหารจัดการให้มุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนดให้ได้
นี่คือการบริหารการจัดการที่แท้จริง
หันกลับมาดูประเทศไทย
ทำไมไทยไม่สามารถกำหนดวิสัยทัศน์ยาว ๆ แล้วสร้างระบบบริหารจัดการแบบอ่องกงหรือจีนเพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์นั้นได้บ้าง
ไม่ต้องดูอื่นไกล
หากคนไทยออกท่องเที่ยวภายในประเทศแล้วไปเจอกรุ๊ปทัวร์ต่างชาติ คนไทยต้องขอให้ได้สิทธิ์ก่อนโดยเฉพาะหากไปเจอนักท่องเที่ยวจีน
คนไทยชอบดูถูกนักท่องเที่ยวจีนหรือชาติที่เห็นว่าด้อยกว่า แต่ฮ่องกงกลับทำในสิ่งตรงกันข้ามโดยการสร้างคิวพิเศษให้กรุ๊ปทัวร์ขึ้นกระเช้าสู่นองปิงก่อน
การท่องเที่ยวของไทยจึงมีทั้งขึ้นทั้งลงสลับกันไปมา ไม่ยั่งยืน ในขณะที่การท่องเที่ยวของฮ่องกงมีแต่ขึ้น เว้นแต่จะมีปัจจัยอื่นที่มนุษย์คุมไม่ได้เข้ามากระทบ
ทีนี้แล้วลองเหลียวดูการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงดูบ้าง
พอมีคนคิด พอมีคนเสนอให้สร้างกระเช้าปลุ๊บ คนที่เสียประโยชน์และคนคัดค้านก็จะออกมาต่อต้านปลั๊บทันที
มันเป็นเสรีภาพที่ทุกคนสามารถหยิบใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือย
พอมีคนเอาเสรีภาพมาผสมกับการเมือง มันก็กลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่เถียงกันไม่รู้จบอย่างมีเสรีภาพจนทำให้วิสัยทัศน์ที่เป็นผลประโยชน์ของส่วนรวมไม่มีความหมายใด ๆ
สุดท้ายก็ทำให้ประเทศไทยก้าวเท้าไม่ออกในหลายเรื่อง
ทุกเรื่องที่มีคนค้าน ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์ที่ดีอย่างไร การค้านก็ทำให้ทุกอย่างสะดุด หรือหยุดลงเหมือน ๆ กับภูกระดึงในวันนี้
ไม่มีข่าวออกมาว่าการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงไปถึงไหนแล้ว
หากเป็นประเทศอื่น ประชาชนเขารู้กันหมดตั้งนานแล้วว่า การสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร หากสร้าง จะต้องสร้างเมื่อไหร่
ทุกอย่างจะชัดเจนไปตั้งนานแล้ว
วันนี้ ทุกคนต้องรู้แล้วว่า ทำอย่างไรให้คนขึ้นกระเช้าไปมาก ๆ แล้วความสกปรกไม่เกิดขึ้น หากคิดไม่ได้ก็ไปลองดูงานฮ่องกงนองปิงก็ได้ ใกล้ ๆ แค่นี้เอง
พอพูดคำว่า “ประเทศ” มันก็หนีไม่พ้นคำว่า “รัฐบาล” แทบทั้งสิ้น
ไม่ว่ารัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร ไม่ว่าจะมีวิธีการบริหารแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร พอมาอยู่ในประเทศไทย ผลในวันนี้มันก็เป็นอย่างที่ท่านผู้อ่านเห็น
หากมีอะไรที่ไม่ดีงาม รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารก็จะโทษรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก่อนหน้า แล้วก็สรุปว่า ตัวเองทำดีที่สุดแล้ว มันได้แค่นี้ และจะทำมากกว่านี้ก็ไม่ได้
พอเปลี่ยนรัฐบาลให้มาจากการเลือกตั้งแทนแล้วมีอะไรที่ไม่ดีงามเกิดขึ้นบ้าง รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็จะโทษรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารก่อนหน้า
แล้วสรุปเหมือน ๆ กันว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว มันได้แค่นี้ และจะทำมากกว่านี้ก็ไม่ได้
มันไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน
ประเทศไทยในวันนี้จึงเป็นแบบนี้ แบบที่ท่านผู้อ่านตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็เห็นข่าวทุกคน ทุกขั้ว ทุกฝ่ายอยู่ในกระแสข่าวทุกวันโดยไม่จำเป็นว่ารัฐบาลมีที่มาจากทางไหน
หากรัฐบาลที่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่รัฐบาลแล้วยังไม่รู้ว่าภูกระดึงควรสร้างหรือไม่ ก็น่าลองไปดูฮ่องกงนองปิงกันจริง ๆ ซะที
ที่นั่นเขาสร้างมาตั้งนาน ทำไมเขาจึงสร้างได้ เขาบริหารจัดการอย่างไรให้คนขึ้นกระเช้าก็สะดวก คนเดินขึ้นก็สะดวก ความสกปรกก็ไม่เกิด คนท้องถิ่นก็ชอบ นักท่องเที่ยวก็ชม แล้วเงินก็ไหลเข้าบ้านเขาอย่างเป็นกรอบเป็นกำ
ไม่แน่ว่า หากไปดูแล้วเราก็อาจนำมาปรับปรุงให้ทันสมัยเกินหน้าเขาก็ได้
สิทธิชัย ชวรางกูร
The Logistics
สามเหลี่ยมทองคำเริ่มเปลี่ยน ลาวเปิดทางทุนข้ามชาติปลุกท่าเรือริมโขง
เชียงราย – สปป.ลาว เปิดทางทุนข้ามชาติปลุกท่าเรือเมืองมอม 1 ใน 14
เมืองท่าริมโขงตามข้อตกลงเดินเรือพาณิชย์ 4 ชาติ (ไทย พม่า ลาว จีน)
พร้อมจับมือจีนพัฒนาถนนเลียบริมน้ำตั้งแต่เชียงรุ่ง-สามเหลี่ยมทองคำ
แถมปลุกผีเขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็น ชายแดนลาว-จีนครั้งใหญ่
ขณะที่พม่าเริ่มดันแผนพัฒนาท่าเรือบ้านปงด้วย
วันนี้ (25 เม.ย. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ขณะนี้พื้นที่ยุทธศาสตร์ริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ
พรมแดนไทย-พม่า-ลาว ที่เชื่อมต่อถึงจีนตอนใต้ กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
หลังจากจีน ทุ่มงบพัฒนาเส้นทางเดินเรือในแม่น้ำโขงมาก่อนหน้านี้
ล่าสุด สปป.ลาว ได้ลงทุนพัฒนาท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำโขงคือ ท่าเรือเมืองมอม
เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
ไปทางทิศเหนือประมาณ 17 กิโลเมตร ที่เป็น 1 ใน 14
เมืองท่าในแม่น้ำโขงตามข้อตกลงเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำโขงตอนบน 4 ชาติคือไทย
เมียนมา สปป.ลาว และจีนตอนใต้ ที่ลงนามกันเมื่อปี 2544
เพื่อพัฒนาการคมนาคมและเศรษฐกิจร่วมกันอย่างขนานใหญ่
โดยเริ่มมีการปรับพื้นที่ริมฝั่ง
และเหนือท่าเรือซึ่งเป็นตลาดและศูนย์การค้าบ้างแล้ว
ขณะที่ตัวท่าเรือซึ่งเป็นคอนกรีตที่เอียงเป็นชั้นๆ
รองรับเรือจอดเข้าออกตามระดับน้ำก็เริ่มมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจวัดเช่นกัน
คาดว่า จะมีการดำเนินการพัฒนาครั้งใหญ่ในเดือนกรกฎาคม 2559 นี้
และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2560 หรือภายใน 1 ปี
รูปแบบของท่าเรือเมืองมอมแห่งใหม่ จะมีความยาวหน้าท่าประมณ 200-300 เมตร
สามารถรองรับเรือสินค้าแม่น้ำโขงที่มีระวางน้ำหนักบรรทุกตั้งแต่ 80-450
ตันได้พร้อมกันกว่า 20-30 ลำ
เนื่องจากเป็นท่าเรือที่ขนานกับแม่น้ำโขงทำให้มีพื้นที่ด้านหน้ากว้างไปตามลำน้ำ
แตกต่างจากท่าเรือแม่น้ำโขงเแห่งที่ 1 ของไทยที่ อ.เชียงแสน
ซึ่งเป็นโป๊ะกลางแม่น้ำ รับเรือได้เพียงครั้งละ 8 ลำ ขณะเดียวกัน
ท่าเรือเมืองมอมแห่งใหม่ยังออกแบบเพื่อเป็นฐานของเรือลาดตระเวนในแม่น้ำโขงของ
สปป.ลาว ที่มีความร่วมมือกับจีน เมียนมา และไทยมาก่อนหน้านี้อีกด้วย
ส่วนพื้นที่บนฝั่งยังจะมีการพัฒนาให้เป็นคลังเก็บสินค้า
ศูนย์บริการครบวงจรหรือคอมเพล็กซ์ทั้งโรงแรม ห้องพัก ศูนย์อาหารขนาดใหญ่
ศูนย์ให้บริการการท่องเที่ยว ฯลฯ อีกด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า ทางการ สปป.ลาว ได้ให้กลุ่มไหมเงิน
ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการท่าเรือ
และการค้าชายแดนรายใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในแขวงบ่อแก้ว
พ้นจากการดูแลท่าเรือเมืองมอม หันไปให้สัมปทานกับเอกชนข้ามชาติรายหนึ่ง
ที่พึ่งได้สัมปทานก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์เมียนมา สายเมืองมัณฑะเลย์-อินเดีย
เพื่อพัฒนาท่าเรือเมืองมอมดังกล่าวแล้วคาดว่าใช้เงินลงทุนเบื้องต้นขั้นต่ำหลาย
100 ล้านบาท
นอกจากนี้ สปป.ลาว ยังร่วมกับทางการจีน
พัฒนาถนนเลียบแม่น้ำโขงตั้งแต่เมืองเชียงรุ้ง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา
มณฑลยูนนาน ผ่านกวนเหล่ย เมืองท่าหน้าด่านในแม่น้ำโขงของจีนลงมา
โดยขณะนี้มีการสร้างถนนเป็นช่วงๆ บริเวณชุมชนริมฝั่งในแขวงหลวงน้ำทา
จนถึงสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อม สปป.ลาว-เมียนมา
เรื่อยมาจนถึงเชียงกก-ท่าเรือเมืองมอม-เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมคำ
ที่มีกลุ่มดอกงิ้วคำ รับสัมปทานพัฒนาพื้นที่ ตรงข้ามบ้านสบรวก ต.เวียง
อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ของไทยอีกด้วย โดยคาดการณ์กันว่า
ถนนสายนี้จะเชื่อมถึงเมืองมอม และสามารถใช้งานได้ดีภายใน 5 ปีนี้แน่นอน
ขณะเดียวกัน สปป.ลาว ยังร่วมกับจีน พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองบ่อเต็น
แขวงหลวงน้ำทา ติดกับเมืองโมฮานของจีน
ที่เคยเป็นแหล่งคาสิโนชายแดนใหญ่อีกครั้งด้วย หลังจากปิดกิจการไปนาน
โดยมีกลุ่มร่วมทุนจีน สิงคโปร์ มาเลย์
เข้ามาดำเนินการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการค้า ศูนย์สินค้าปลอดภาษีหรือดิวตี้ฟรี
ฯลฯ แทน
ซึ่งการพัฒนาบ่อเต็นครั้งใหม่ดังกล่าวทำให้คนจีนสามารถทำหนังสือผ่านแดนหรือบอเดอร์พาสจากจีนเข้าสู่บ่อเต็นของลาวได้โดยตรงเป็นผลให้บรรยากาศคึกคักอย่างมาก
ด้านเมียนมา ซึ่งพึ่งเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลพลเรือนเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
ก็เริ่มเห็นการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนมากขึ้นเช่นกัน ล่าสุดมีรายงานว่า
รัฐบาลเตรียมพัฒนาท่าเรือบ้านโป่ง ตรงข้ามท่าเรือเมืองมอมของ สปป.ลาว และเป็น 1
ใน 14 เมืองท่าตามข้อตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำโขงตอนบน 4 ชาติเช่นกัน
ส่วนภายในตลาดท่าล้อในเมืองท่าขี้เหล็กตรงกันข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย
ก็เริ่มเห็นการเปลียนแปลงโดยมีการจัดระเบียบไม่ให้ตั้งร้านค้าบนทางเท้าหรือถนนกลางตลาดจนดูแปลกตาไปจากเดิมที่เคยเป็นตลาดที่พลุกพล่านอีกด้วย
ด้าน น.ส.ผกายมาศ เวียร์ร่า รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า
ในโอกาสที่ประเทศไทยเราก็มีโครงการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ชายแดน 3
อำเภอของเชียงราย คือ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ
เราจึงควรศึกษาหาข้อมูลการพัฒนาของประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ เหล่านี้ให้มาก
เพื่อประสานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกันซึ่งก็จะเป็นผลดีร่วมกันมากกว่าที่จะมุ่งพัฒนาไปฝ่ายเดียว
“กระแสการพัฒนาเมืองท่าแม่น้ำโขงต่างๆ ของ สปป.ลาว และเมียนมา
จะเห็นได้ว่าเป็นท่าเรือที่ใกล้กับ อ.เชียงแสน
จึงเป็นไปได้หากจะร่วมมือกันระหว่าง 3 เมืองท่าเพื่อประโยชน์ร่วมกัน”
น.ส.ผกายมาศ กล่าวอีกว่า สำหรับฝั่งเมียนมานั้น
จะเห็นได้ว่าเขาพยายามพัฒนาด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันมีคณะกรรมการท้องถิ่นรัฐฉานที่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง
ทำให้มีโครงการพัฒนาที่มาจากการเสนอของท้องถิ่นมากขึ้น
ที่มา : http://www.marinerthai.net/forum/index.php?topic=8044.0
AEC Info
“ศุภชัย” แนะชาติอาเซียนเลิกแข่งลดค่าเงิน ควรมุ่งรักษาเสถียรภาพ สร้างเติบโตระยะยาว
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา เปิดเผยว่า ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทยได้รับผลกระทบที่น้อยที่สุด จากสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจในอาเซียนเติบโตเฉลี่ย 6% ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูง เพราะภูมิภาคนี้เป็นประเทศกำลังพัฒนา เป็นตลาดใหม่ การลงทุนจึงยังมีสูง ซึ่งการรวมตัวของประเทศในอาเซียนยังสร้างความแข็งเกร่งและเป็นผลดี หากสามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้จริง พัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน ไม่กีดกันทางการค้า และสร้างเส้นทางคมนาคมที่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันเป็นหลัก
“ปัญหาหลักในอาเซียน คือ การแข่งกันลดค่าเงินดึงดูดการลงทุน ซึ่งไม่เป็นผลดีในระยะยาว เพราะทำให้ค่าเงินไม่มีเสถียรภาพ ที่ผ่านมาไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 5% ซึ่งพึ่งพิงอยู่กับเศรษฐกิจของจีน และเศรษฐกิจโลก ทำให้ได้รับผลกระทบ” นายศุภชัยกล่าว
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกถดถอย มี 3 แนวทางคือ 1.สหรัฐอเมริกาไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการกู้เงิน 2.จีนไม่ควรลดค่าเงินหยวนเพราะจะส่งผล
กระทบในวงกว้าง และ 3.อาเซียนเป็นภูมิภาคที่สามารถระดมเงินลงทุนจากต่างประเทศได้เทียบเท่ากับจีน ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลสูง หากรักษาความเป็นเอกภาพไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังไม่พื้นตัว จากอัตราการว่างงานในยุโรปที่มีถึง 10% และยังเป็นภูมิภาคที่ใช้เงินในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มากที่สุด แต่กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เล็กน้อย คาดว่าสิ้นปีนี้ตัวเลขการเติบโตจะลดลงอยู่ที่ 2.8% จากเมื่อต้นปีคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 3.4% ซึ่งสูงกว่าความเป็นจริง
ขณะที่เศรษฐกิจภาพรวมของเอเชียฟื้นตัวตั้งแต่ในปี 2552 เป็นต้นมา แต่กลับมาทรุดตัวอีกครั้งในปี 2558 จากผลกระทบเศรษฐกิจโลกที่ต้องพึ่งการค้ากับภูมิภาคอื่นนอกเอเชีย 45% และเป็นการค้าในเอเชียด้วยกันเอง 55% แต่เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นทั่วโลกเอเชียได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ส่วนเศรษฐกิจโดยรวมของจีน ปัญหาหลักคือภาวะหนี้สินของประเทศ และการลดลงของเงินสำรองในคลังภายใน 1-2 ปี ลดลงกว่า 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ การที่จีนผลักดันให้สกุลเงินหยวนเข้าระบบเอสดีอาร์ (Special Drawing Rights) ของไอเอ็มเอฟ ทำให้สามารถลดต้นทุนทางการค้าระหว่างประเทศของจีนได้ซึ่งเป็นผลดี และจีนต้องปรับตัวมากขึ้น แต่ปัญหาที่สำคัญในประเทศจีนคือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยังสูง
ที่มา : http://www.posttoday.com/aec/news/428975
คุยข่าวเศรษฐกิจ
ผู้ว่า ธปท. เชื่อ ครม.ยืดเวลาคุ้มครองเงินฝากส่งผลดีต่อดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ หนุนการฟื้นตัวของศก.-ปชช.มีเวลาปรับตัว
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีขยายเวลาการคุ้มครองเงินฝากออกไปว่า การขยายเวลาคุ้มครองเงินฝากออกไป และจะทยอยลดวงเงินคุ้มครองแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้น มีข้อดีสำหรับประชาชนผู้ฝากเงินที่จะได้มีเวลาปรับตัวและวางแผนทางการเงินเพิ่มขึ้น มีเวลามากขึ้นที่จะพิจารณาผลิตภัณฑ์การเงินที่จะมาทดแทนเงินฝากที่เหมาะสมกับตน
นอกจากนี้ การขยายเวลาการคุ้มครองเงินฝากดังกล่าว ยังอาจส่งผลดีต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ เพราะสถาบันการเงินไม่ต้องกังวลที่จะแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อจูงใจผู้ฝากเงินรายใหญ่ ส่งผลให้สถาบันการเงินบริหารต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงอยู่ในระดับต่ำได้ต่อเนื่อง สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน
ผู้ว่า ธปท. กล่าวอีกว่า การขยายเวลาการคุ้มครองเงินฝากออกไปและจะทยอยลดวงเงินคุ้มครองแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้น ไม่ได้มีเหตุผลเกี่ยวกับความมั่นคงของสถาบันการเงินแต่อย่างใด ในขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ไทยทุกแห่งมีฐานะเงินกองทุนที่เข้มแข็งและมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งได้เตรียมตัวพร้อมรับการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี ตามกำหนดการเดิมไว้แล้ว ซึ่งธปท.ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของเงินฝากในระบบสถาบันการเงินไทยอย่างใกล้ชิด และไม่พบความเคลื่อนไหวผิดปกติแต่อย่างใด
ที่มา : http://www.ryt9.com/s/iq03/2410437