CEO ARTICLE

เปิดประเทศ

Published on October 26, 2021


Follow Us :

    

ปิดประเทศ เศรษฐกิจพัง คนอดตาย คนเที่ยว คนทำการค้าไม่ชอบ ด่ารัฐบาล
เปิดประเทศ คนเสี่ยงติด Covid-19 มากขึ้น เสี่ยงตาย คนกลัว คนไม่ชอบ ด่ารัฐบาล

ไม่ว่าปิดหรือเปิดประเทศจะมีฝ่ายหนึ่งชอบ อีกฝ่ายไม่ชอบ การด่ารัฐบาลก็เกิดขึ้นทั้ง 2 ทาง
เมื่อมีรัฐบาลก็ต้องมีการเมืองเข้ามาผสม การจะเปิดประเทศหรือไม่ทำให้เกิดการเชียร์ และการบูลลี่ไม่หยุดหย่อน แต่รัฐบาลถูกบูลลี่จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือและคะแนนนิยมมากกว่า
คนบางกลุ่มไม่ยุ่งการเมือง แต่เห็นเป็นเรื่องขำ เรื่องตลก เลยร่วมบูลลี่ไปด้วย เมื่อประชาชนรับแต่เรื่องบูลลี่ก็ลังเลใจ ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับการเปิดหรือไม่เปิดประเทศดี !!!

ข้อมูลประชากรที่ได้รับ ‘วัคซีนครบโดส’ แล้ว ณ วันที่ 23 ต.ค. 64 พบว่า เกาหลีใต้ 67.7%ญี่ปุ่น 68.9% สิงคโปร์ 82.2% มาเลเซีย 72% สหรัฐ 57.3% และอังกฤษ 68.1% ส่วนประเทศไทย 38% (https://travel.trueid.net/detail/A5GQPOlbYkGX)
วันนี้ หลายประเทศเปิดแล้ว คนเดินทางกันมากขึ้น เชื้อ Covid-19 แพร่ระบาดโดยคน เมื่อคนเดินทาง เชื้อก็เดินทางด้วย หลายประเทศมีข่าวคนติดเชื้อเพิ่มแม้จะได้รับ ‘วัคซีนครบโดส’ แล้วก็ตาม ยิ่งมีข่าวสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น รุนแรงเป็นนักฆ่าก็ยิ่งน่าวิตกมากขึ้น
ประเทศไทยมีประชากรได้รับ ‘วัคซีนครบโดส’ แล้วยังไม่ถึงครึ่ง หากรอให้ปลอดภัยอย่างแน่นอนแล้วค่อยประเทศ ถึงเวลานั้นนักท่องเที่ยวก็ไปประเทศอื่นหมด เศรษฐกิจไทยยิ่งฟื้นตัวยาก
ปิดก็ไม่ได้ เปิดก็ไม่ดี ท่ามกลางความลังเลใจของทุกฝ่าย ในที่สุด รัฐบาลที่ฟังความคิดเห็นจากคณะแพทย์ก็ตัดสินใจ ‘เปิดประเทศ’ เป้าหมายคือ วันที่ 1 พ.ย. 64 ให้เฉพาะคนต่างชาติจาก 46 ประเทศที่ได้รับ ‘วัคซีนครบโดส’ แล้วเข้ามาได้ มีการตรวจที่สนามบิน ไม่มีการกักตัว

ข้อถกเถียงยุติ หากเปิดประเทศแล้วควบคุมได้ดี รัฐบาลย่อมได้ประโยชน์ แต่หากการแพร่ระบาดมากขึ้น รัฐบาลก็เสียความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่นและคะแนนเสียงย่อมลดลง ทุกอย่างก็วนกลับสู่การเมืองอยู่ดี การเมืองที่มีประชาชนเป็นผู้รับกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเมื่อประเทศมีกำหนดเปิดแน่นอนแล้ว สิ่งที่ประชาชนไม่ว่าจะ ‘เชื่อมั่น’ หรือ ‘ไม่เชื่อมั่น’ ต่อรัฐบาลควรทำต่อแต่นี้คือ การประคองชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ให้ผ่านพ้นไปอีกระยะหนึ่ง รอให้ Covid-19 เป็นโรคประจำถิ่น และรอให้วัคซีนมีประสิทธิภาพมากขึ้นก่อน
1. เร่งฉีด ‘วัคซีนครบโดส’ โดยเร็ว หากวัคซีนทางเลือกต้องรอนานก็ควรฉีดวัคซีนที่รัฐบาลจัดให้ก่อน แล้วค่อยตามด้วย Booster Dose ในภายหลัง ตอนนี้วัคซีนเข้าถึงง่ายขึ้นมากแล้ว
เชื้อ Covid-19 กำลังจะเดินผ่านหน้าไปมา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเลือกป้องกันตัวเองไว้ก่อน
2. คนมากมายกำลังจะใช้ชีวิตปกติ กำลังจะท่องเที่ยว หากคนไม่ได้รับ ‘วัคซีนครบโดส’ ต้องเอาแต่เก็บตัว คุณภาพชีวิตจะหายไปเว้นแต่คนมีโรคประจำตัวที่แพทย์สั่งห้ามการฉีดวัคซีน
3. ต้องป้องกันตัวเองเช่นเดิมไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว ในสำนักงาน ขณะทำงาน หรือเดินทาง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ โดยไม่ประมาทกับเชื้อที่มองไม่เห็นแถมเดินผ่านหน้าไปมา
การเปิดประเทศครั้งนี้มุ่งเศรษฐกิจเป็นหลัก ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำและคนทำงานจะได้ประโยชน์สูงสุด ประชาชนจึงต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ไม่เป็นผู้รับเชื้อ และไม่เป็นผู้แพร่เชื้อ
ส่วนคนที่มองเป็นการเมือง อาจไม่ชอบรัฐบาล อาจไม่ชอบฝ่ายค้านก็ยิ่งต้องป้องกันตัวให้มาก มันไม่มีประโยชน์ใด ๆ ที่จะเชียร์หรือจะบูลลี่ฝ่ายใดในช่วงนี้ สู้ใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างปกติดีกว่า แล้วค่อยรอไปจัดการในวันเลือกตั้งให้สะใจ
เอาชีวิตให้รอดปลอดภัยและผ่านช่วงนี้ก่อน แค่นี้เท่านั้นทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง

ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
CEO – SNP Group

อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/

Date Published : October 26, 2021

Dr. Sitthichai  Chawaranggoon
Dr. Sitthichai ChawaranggoonChief Executive Officer (CEO) - SNP GROUP

Logistics

ไทย ลาว เวียดนาม ได้ประโยชน์จาก “รถไฟเวียดนาม-กว่างซี” ขนส่งสินค้าแรงฉุดไม่อยู่

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้ค้าได้หันมาใช้รถไฟเพื่อการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ “รถไฟจีน(กว่างซี)-เวียดนาม” มีปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี จากข้อมูลสถิติของ China Railway Nanning Group ระบุว่า ในช่วง 9 เดือน ปี 2564 ขบวนรถไฟจีน(กว่างซี)-เวียดนาม วิ่งให้บริการแล้ว 235 เที่ยว เพิ่มขึ้น 117% และคาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีรถไฟจีน-เวียดนาม วิ่งให้บริการ 300 เที่ยว คิดเป็นปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่ง 6,772 TEUs

ทั้งนี้ ตัวเลขข้างต้น ไม่นับรวมเที่ยวขบวนรถไฟจากหัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญอื่นที่ใช้“ด่านรถไฟผิงเสียง” เพื่อการนำเข้า-ส่งออกกับเวียดนาม ซึ่งมีอยู่ 10 เส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นนครกว่างโจว นครฉางซา นครเจิ้งโจว โดยสถิติช่วง 7 เดือนแรก ปี 2564 มีขบวนรถไฟวิ่งให้บริการมากถึง 400 เที่ยวขบวน เพิ่มขึ้น 80.2% แบ่งเป็น เที่ยวขบวนขาออกไปเวียดนาม 185 เที่ยว เพิ่มขึ้น 110% และเที่ยวขบวนขาเข้า 215 เที่ยว เพิ่มขึ้น 59.3% รวมจำนวนตู้สินค้า 12,286 TEUs เพิ่มขึ้น 200%

นับตั้งแต่เปิดให้บริการขบวนรถไฟขนส่งสินค้าจีน-เวียดนามเมื่อปี 2550 สินค้าที่นำเข้า-ส่งออกด้วยขบวนรถไฟดังกล่าวมีความหลากหลายเพิ่มขึ้น ทั้งสินค้าเกษตร (ผลไม้ ไม้ซุง ยาสมุนไพรจีน) สินค้าอุตสาหกรรม (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มอเตอร์ ปุ๋ยเคมี สังกะสีออกไซด์ กระจก เครื่องจักรทางการเกษตร ชิ้นส่วนยานยนต์) รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน (เกลือ เบียร์ กระดาษ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ที่ทำจากพลาสติก)

เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้นำเข้า-ส่งออกทางรถไฟ เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานศุลกากรได้พัฒนาระบบขนส่งด้านศุลกากร (Customs Transit System) และนำไปทดลองใช้ที่ “ด่านรถไฟผิงเสียง” เป็นที่แรกในประเทศจีน ทำให้สามารถลดขั้นตอนในการยื่นพิธีการศุลกากร ช่วยให้ผู้ค้าได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในการเคลื่อนย้ายสินค้า เป็นการลดระยะเวลา ค่าใช้จ่าย รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาขีดความสามารถของระบบโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ

ระบบขนส่งด้านศุลกากร (Customs Transit System) คืออะไร ระบบงานศุลกากรที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกการค้าสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างจีนกับประเทศสมาชิกอาเซียน (เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ผ่าน “ด่านรถไฟผิงเสียง” กับประเทศเวียดนาม) โดยผู้นำเข้า-ส่งออกสามารถปฏิบัติพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์เพียงครั้งเดียวสำหรับการขนส่งสินค้า โดยตู้สินค้าที่ลำเลียงมาถึงที่ “ด่านรถไฟผิงเสียง” ไม่ต้องเปิดตรวจ และไม่จำเป็นต้องแจ้งถ่ายลำ/ข้ามแดนซ้ำที่ด่านรถไฟผิงเสียง ก็สามารถขนส่งต่อไปเพื่อดำเนินพิธีการศุลกากรที่ด่านปลายทางได้โดยตรง

ระบบดังกล่าวช่วยลดขั้นตอนการดำเนินพิธีการศุลกากร ลดความแออัดของสินค้าในด่านรถไฟผิงเสียง เร่งการเคลื่อนย้ายสินค้าให้ไวขึ้น หลีกเลี่ยงปัญหาการคั่งค้างของตู้สินค้าในด่านรถไฟ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เพิ่มปริมาณการค้าและเครือข่ายการผลิตในภูมิภาค สิ่งสำคัญที่สุด คือ การลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง (ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 200-350 หยวนต่อใบขนสินค้า)

บีไอซี เห็นว่า การขนส่งสินค้าทางรถไฟผ่าน “ด่านรถไฟผิงเสียง” เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยสินค้าที่ลำเลียงผ่านขบวนรถไฟจีน(กว่างซี)-เวียดนาม ส่วนใหญ่จะไปวิ่งต่อไปที่ “ท่าสถานีรถไฟระหว่างประเทศหนานหนิง” เพื่อกระจายต่อไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศจีนด้วย (1) การขนถ่ายขึ้นรถบรรทุก (2) การใช้โครงข่ายรถไฟในจีน หรือโครงข่ายรถไฟ China- Europe Railway เพื่อลำเลียงสินค้าไปเจาะตลาดเอเชียกลาง และยุโรปได้

สำหรับประเทศไทย “ด่านรถไฟผิงเสียง” เป็นช่องทางการค้าที่บทบาทสำคัญในการช่วยระบายผลไม้ในช่วงที่ผลผลิตกระจุกตัวออกสู่ตลาด เป็นด่านทางเลือกที่ผู้ค้าให้ความสนใจใช้ประโยชน์ เนื่องจากสามารถช่วยแบ่งเบาภาระความแออัดของรถบรรทุกที่ด่านทางบกโหย่วอี้กวาน หลีกเลี่ยงความเสียหายของผลไม้สดที่รอคิวหรือติดค้างอยู่นอกด่านโหย่วอี้กวานได้อย่างมาก ที่สำคัญ ยังช่วยลดการสัมผัสใกล้ชิดของบุคคลและสินค้าในช่วง COVID-19 ได้ด้วย

แม้ว่าขบวนรถไฟจีน(กว่างซี)-เวียดนามจะใช้สำหรับขนส่งสินค้าทุกประเภท (ไม่ได้จำกัดเฉพาะผลไม้) แต่การเพิ่มขึ้นของเที่ยวขบวนรถไฟขนส่งสินค้าในช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ของปี 2564 ซึ่งตรงกับช่วงฤดูผลไม้ของประเทศไทย โดยเพิ่มขึ้นจาก 128 เที่ยว เป็น 235 เที่ยว เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ช่วง 6 เดือนแรก ปี 2564 ผลไม้ที่ลำเลียงผ่านขบวนรถไฟจีน-เวียดนาม มีปริมาณรวม 15,780 ตัน เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน)

กระบวนการขนส่งสินค้าไทยไปจีนด้วยขบวนรถไฟจีน(กว่างซี)-เวียดนาม (ขาขึ้น) จะเป็นโมเดลการขนส่ง “รถ+ราง” โดยรถบรรทุกจากภาคอีสานไทย และเปลี่ยนถ่ายขึ้นรถไฟที่สถานี Yên Viên ในกรุงฮานอย เพื่อลำเลียงผ่านด่านรถไฟผิงเสียงไปที่นครหนานหนิง และใช้ประโยชน์จากโครงข่ายรถไฟในการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นของประเทศจีน แต่สำหรับการขนส่ง “ผลไม้ไทย” รถบรรทุกจากภาคอีสานไทย ผ่านกรุงฮานอยไปที่จังหวัดล่างเซิน (Lang Son) เพื่อเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าขึ้นรถไฟที่สถานีด่งดัง (Dong Dang) ก่อนจะวิ่งเข้าสู่ด่านรถไฟผิงเสียง และกระจายต่อไปยังพื้นที่ในประเทศจีน

ในส่วนของการขนส่งสินค้าจากจีนไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน (ขาล่อง) ก็สามารถใช้โมเดลการขนส่ง “ราง+รถ” ได้เช่นกัน โดยมีการใช้งานครั้งแรกในเส้นทางจีน – เวียดนาม – สปป.ลาว ในการลำเลียงสินค้าที่ใช้ทางการเกษตร (ปุ๋ยเคมี เครื่องจักรทางการเกษตร) ด้วยรถไฟจากจีน(นครหนานหนิง) และไปเปลี่ยนถ่ายขึ้นรถบรรทุกในประเทศเวียดนาม ก่อนจะส่งไปยังปลายทางใน สปป.ลาว ระยะทาง 1,300 กิโลเมตร ใช้เวลาขนส่งเพียง 4 วัน เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางเรือ สามารถร่นเวลาได้มากกว่า 10 วัน

ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการค้าสองทาง และจัดสรรตู้สินค้าหมุนเวียน (บรรจุสินค้าขนกลับแทนการขนตู้สินค้าเปล่ากลับไทย) ผู้ค้าไทยก็สามารถใช้โมเดลการขนส่งดังกล่าวในการลำเลียงสินค้าขาล่องจากจีนกลับประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน

ที่มา : https://thaibizchina.com/

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.