CEO ARTICLE
อากรของออนไลน์
รัฐเริ่มเก็บแวตของที่ขายออนไลน์ แต่ทำไมไม่เก็บอากรขาเข้าไปพร้อมกัน ?
การซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศต้องเสียแวต (VAT) เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เมื่อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศขายทางออนไลน์ ผู้ซื้อต้องจ่ายแวตที่รวมอยู่ในราคาสินค้าก็เป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ และเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกัน
แต่หากสินค้าที่ขายออนไลน์เป็นของนำเข้าจากต่างประเทศ ราคา CIF (Cost, Insurance and Freight) ไม่เกิน 1,500 บาท สินค้านั้นจะได้รับยกเว้นอากรตาม พรก. พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 4 ของที่ได้ยกเว้นอากรประเภทที่ 12
นอกจากยกเว้นอากรแล้ว สินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาทยังได้ผ่อนผันแวตจากกรมสรรพากรอีกด้วย เนื่องจากในอดีต การค้าออนไลน์มีมูลค่ารวมไม่มาก ไม่คุ้มต่อการสร้างระบบจัดเก็บ แวตจึงได้รับการผ่อนผันให้สอดคล้องกับอากรที่ได้ยกเว้น ผู้ซื้อจึงไม่ต้องจ่ายแวตเรื่อยมา
สินค้านำเข้าไม่เกิน 1,500 บาทจึงมีราคาต่ำกว่า และได้เปรียบกว่าสินค้าในประเทศ
แต่ปัจจุบันสินค้านำเข้าเพื่อขายออนไลน์มีมูลค่ารวมกันสูงขึ้นมาก การไม่เก็บทั้งอากรและแวตจึงทำให้สินค้าในประเทศเสียเปรียบมากขึ้น ผู้ซื้อนิยมสินค้าต่างประเทศมากกว่า ผู้ค้าออนไลน์ของไทยสู้สินค้าต่างชาติไม่ได้ ส่วนรัฐก็สูญเสียรายได้จากแวตที่ควรจะได้มานานแล้ว
เรื่องนี้มีการถกเถียงหลายครั้ง ผู้ขายสินค้าภายในประเทศร้องเรียน แต่รัฐก็ไม่ทำอะไรสักที ทุกอย่างเงียบเหมือนไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว ปล่อยให้ผู้ค้าคนไทยเสียเปรียบ ประเทศเสียหาย
แต่แล้วอยู่ ๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา ครม. ก็มีมติให้กรมสรรพากรเรียกเก็บแวตจากสินค้านำเข้าที่มีราคาไม่เกิน 1,500 บาท CIF โดยจะทดลองเก็บแวตตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 2567 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 เพื่อประเมินผล และเพื่อให้มีเวลาจัดทำเป็นกฎหมาย
วันที่ 4 ก.ค. 2567 ก่อนวันเก็บจริงวันเดียว กรมศุลกากรมีประกาศที่ 129/2567 เรื่อง หลักเกณฑ์และการปฏิบัติพิธีการศุลกากรเพื่อร่วมมือกับกรมสรรพากรในการจัดเก็บแวต
มติ ครม. และประกาศกรมฯ ครั้งนี้ทำให้สินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท ต้องเสียแวตทันทีเหมือนสินค้าไทย และทำให้สินค้าไทยมีโอกาสแข่งขันได้มากขึ้น
แต่สินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท ยังมีอากรขาเข้าที่ได้ยกเว้น รัฐก็น่าจะใช้โอกาสนี้จัดเก็บอากรของออนไลน์ไปพร้อมกันเพื่อส่งเสริม และให้โอกาสสินค้าไทยแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น
ทำไมรัฐจึงไม่ใช้โอกาสนี้เก็บอากรของออนไลน์ในคราวเดียวกัน … ทำไม ?
“อากร” เป็นรายได้แผ่นดินที่กรมศุลกากรมีหน้าที่จัดเก็บ ส่วน “แวต” เป็นรายได้แผ่นดินที่กรมสรรพากรมีหน้าที่จัดเก็บ ต่างฝ่ายต่างจัดเก็บเพื่อนำส่งกระทรวงการคลัง
แต่ศุลกากรยังมีองค์การศุลกากรโลก หรือ WCO (World Customs Organization)
กฎหมายศุลกากรและระเบียบต่าง ๆ จึงต้องสอดคล้องกับข้อตกลงที่ศุลกากรใช้กันทั่วโลก เช่น “อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยพิธีการศุลกากรที่เรียบง่ายและสอดคล้องกัน”
อนุสัญญาข้อ 4.13 บัญญัติทุกประเทศต้องกำหนดมูลค่าขั้นต่ำเพื่อให้ผู้นำเข้าได้รับความสะดวก และได้รับยกเว้นอากร สหรัฐจึงกำหนดราคา US$ 800 ญี่ปุ่นกำหนด JPY 10,000 ให้เป็นของมูลค่าขั้นต่ำ ให้ได้รับความสะดวก และให้ได้ยกเว้นอากร (Dharmniti Magazine, May 2024)
ไทยเป็นประเทศสมาชิก WCO จึงกำหนดไว้ที่ 1,500 บาท และบัญญัติให้เป็นกฎหมายใน พรก. พิกัดฯ ภาค 4 ประเภทที่ 12 ดังกล่าวข้างต้นให้ได้รับยกเว้นอากรตามอนุสัญญา
ด้วยเหตุนี้ การที่ไทยเปลี่ยนมาเก็บแวตจากของที่ขายออนไลน์ตามมติ ครม. และประกาศศุลกากรจึงเป็นสิทธิของไทย แต่หากจะเก็บอากรจากของที่ขายออนไลน์ราคาไม่เกิน 1,500 บาท ก็จะทำให้ไทยขัดต่ออนุสัญญาภายใต้ WCO จึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้
ในประกาศกรมศุลกากร หากผู้นำเข้าที่ต้องการได้ประโยชน์จากการยกเว้นอากรก็ให้ระบุรหัสในใบขนสินค้าขาเข้าด้วยคำว่า “LVG” (Low Value Goods) ซึ่งเป็นรหัสสากลที่ WCO ใช้เพื่อเก็บภาษีสำหรับของซื้อขายที่มีมูลค่าต่ำ (Sales Tax on Low Value Goods)
การที่รัฐให้เก็บเฉพาะแวตของนำเข้าเพื่อขายออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
วันนี้ ของราคาไม่เกิน 1,500 บาทผลิตจากในประเทศ และของนำเข้าจากต่างประเทศต้องเสียแวตเหมือนกัน และไม่ต้องเสียอากรเหมือนกัน ไม่มีใครได้เปรียบ และเสียเปรียบ
มันจึงอยู่ที่รัฐจะส่งเสริมอย่างไรให้สินค้าไทยมีคุณภาพดี มีต้นทุนต่ำ และทำให้คนไทยหันมานิยมของไทยให้มากขึ้นเพื่อสู้กับสินค้าต่างชาติ เพื่อสังคม และเพื่อเศรษฐกิจของประเทศ
ทุกอย่างอยู่ที่รัฐบาล ประชาชนเลือกอย่างไรก็ได้รัฐบาลอย่างนั้น.
ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร
for Home and Health,
please visit https://www.inno-home.com
อ่านบทความอื่นที่เขียนโดย ดร. สิทธิชัย ชวรางกูร ได้ที่ http://snp.co.th/e-journal/
Date Published : July 9, 2024
Logistics
ญี่ปุ่นจะเปลี่ยน B/L เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-B/L ในปี 2570
ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนการออกใบตราส่งสินค้า Bill of Lading (B/L) เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2568 การออกใบตราส่งสินค้าทางเรือจะได้รับการแก้ไขกฎหมายในปีหน้า ลดภาระทางปฏิบัติและป้องกันการปลอมแปลง โดยรัฐบาลคาดหวังจะทำให้ “ใบตราส่งสินค้าทางเรือ” ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการค้าระหว่างประเทศที่บริษัทต้องดำเนินการเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-B/L) จะมีการแก้ไขกฎหมายพาณิชย์ในปี 2568 และมุ่งหวังให้มีการบังคับใช้ภายในปี 2570 การยอมรับเอกสารใบตราส่งสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดภาระในกระบวนการค้าระหว่างประเทศ
โดยการออกเอกสารใบตราส่งสินค้าทางเรือเป็นเอกสารสำคัญที่ออกโดยบริษัทเรือให้แก่เจ้าของสินค้า เพื่อพิสูจน์สัญญาการขนส่ง และทำหน้าที่เป็นใบรับรองการรับสินค้าและสิทธิ์ในการรับมอบสินค้า เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการค้าระหว่างประเทศ ปัจจุบันระบบกฎหมายยังอิงรูปแบบกระดาษ
ในการค้ากับประเทศใกล้เคียงเช่นเกาหลีและจีน เกิดกรณีที่สินค้ามาถึงก่อนแต่ใบตราส่งสินค้าทางกระดาษยังไม่มาถึงปลายทาง ทำให้ไม่สามารถรับสินค้าได้ อีกทั้งใบตราส่งสินค้าทางกระดาษยังมีความเสี่ยงที่จะสูญหาย เสียหาย หรือถูกปลอมแปลง ทั้งนี้จากเสียงเรียกร้องจากผู้ปฏิบัติงานต้องการให้ทำเป็นระบบดิจิทัล
กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry : METI) จะเปิดการประชุมเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลในวันที่ 25 รวมทั้งแผนการดำเนินการของกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ใบตราส่งสินค้าทางเรือเป็นดิจิทัล ซึ่งกระทรวงยุติธรรมจะเริ่มงานแก้ไขกฎหมายเฉพาะ การจัดการไฟล์ดิจิทัลนั้นทำได้ง่ายกว่ากระดาษและยากที่จะระบุว่าไฟล์ใดเป็นของจริง เพื่อแก้ปัญหานี้ จึงมีการพิจารณาใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (บัญชีแยกประเภทแบบกระจาย) (Blockchain คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล) จะมีการออก ID และรหัสผ่านใหม่ทุกครั้งที่มีการโอนใบตราส่ง ทำให้แม้ว่าผู้ถือสิทธิ์เดิมจะคัดลอกข้อมูลใบตราส่งก็ไม่สามารถเปิดไฟล์ได้และสามารถระบุผู้ถือสิทธิ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
ในการแก้ไขกฎหมาย จะมีการพิจารณาวิธีการจัดการกรณีบริษัทที่ถือใบตราส่งสินค้าล้มละลายและเจ้าหนี้ยึดใบตราส่ง
มีความพยายามจากผู้ประกอบการเอกชนที่จะทดลองใช้บล็อกเชนเพื่อทำใบตราส่งสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง แต่เนื่องจากสิ่งที่ทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์นั้นยังไม่ได้รับการยอมรับทางกฎหมาย จึงมีความเสี่ยงในกรณีที่เกิดปัญหาและเป็นอุปสรรคต่อการแพร่หลาย
การดำเนินการทางการค้าประกอบด้วยเอกสารหลายชนิด เช่น ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าและข้อมูลการชำระเงิน ซึ่งทำในรูปแบบกระดาษหรืออีเมล แม้ว่าการดำเนินการทางศุลกากรและการชำระเงินได้ถูกทำให้เป็นดิจิทัลมากขึ้นเพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่าย มีบริการจากเอกชนที่ทำให้ข้อมูลเป็นดิจิทัลและจัดการในที่เดียวเพื่อให้สะดวกต่อการแลกเปลี่ยนระหว่างบริษัท
อย่างไรก็ตาม สำหรับใบตราส่งสินค้าทางเรือยังคงใช้กระดาษในการทำและส่งมอบ การปรับปรุงกฎหมายในครั้งนี้จะทำให้กระบวนการนี้เป็นดิจิทัลในที่สุด
ยุโรป อเมริกา และสิงคโปร์ต่างก็ได้กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อมุ่งสู่การดิจิทัลเช่นกัน ญี่ปุ่นก็จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างประเทศได้ในที่สุด
กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมจะเริ่มระบบใหม่ที่เรียกว่า “การรับรองแพลตฟอร์มดิจิทัลการค้า” ตั้งแต่ปี 2567 โดยเป็นระบบการรับรองผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายที่จะให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองในขั้นตอนการดำเนินการทางศุลกากรตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
การยอมรับใบตราส่งสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bill of Lading หรือ e-B/L) ของญี่ปุ่นได้รับข้อคิดเห็นหลากหลายจากหลายฝ่าย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:
1. ความรวดเร็วและประสิทธิภาพ: หลายฝ่ายยกย่องการนำ e-B/L มาใช้เพราะช่วยลดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการเอกสารการค้า ไม่ต้องรอเอกสารทางกายภาพ (รูปแบบกระดาษ) ที่อาจใช้เวลานาน
2. ความปลอดภัย: การใช้ e-B/L ถูกมองว่าเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการข้อมูลสามารถลดความเสี่ยงของการปลอมแปลงและการสูญหายของเอกสาร
3. ความโปร่งใสและตรวจสอบได้: ระบบดิจิทัลช่วยให้สามารถติดตามและตรวจสอบสถานะของเอกสารได้ง่ายขึ้น ทำให้การดำเนินการมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้
4. การลดต้นทุน: ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์ การจัดส่ง และการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบกระดาษ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนได้
5. ผลกระทบทางกฎหมาย: มีข้อคิดเห็นว่าการเปลี่ยนมาใช้ e-B/L อาจต้องปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้รองรับการใช้งานดิจิทัล ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว
6. การฝึกอบรมและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร: การยอมรับ e-B/L ต้องการการฝึกอบรมพนักงานและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้สามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การเชื่อมต่อและความพร้อมของระบบ: มีข้อคิดเห็นว่าการใช้ e-B/L ต้องการระบบที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก ซึ่งบางประเทศหรือองค์กรอาจยังไม่มีความพร้อมในด้านนี้
8. การส่งเสริมความยั่งยืน: การลดการใช้กระดาษและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย
บทวิเคราะห์ (ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย)
การขนส่งสินค้าจากไทยไปญี่ปุ่นทางเรือเป็นหนึ่งในวิธีการขนส่งที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีความสามารถในการขนส่งสินค้าในปริมาณมากและต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางอากาศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการค้าเสรีระหว่างสองประเทศ
JTEPA หรือ Japan-Thailand Economic Partnership Agreement คือ ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย ข้อตกลงนี้ถูกลงนามเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2007 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2007 ซึ่งนับตั้งแต่มีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศเป็นต้นมา มีการขนส่งในปริมาณมากทุกปี โดยทั่วไปแล้ว การขนส่งสินค้าทางทะเลจากไทยไปญี่ปุ่นจะใช้เวลาประมาณ 16-19 วัน ขึ้นอยู่กับท่าเรือที่สินค้าเข้าถึงในญี่ปุ่น เช่น โตเกียว, โยโกฮามา, นาโกย่า, โกเบ และโอซาก้า สินค้าที่ขนส่งทางเรือระหว่างไทยและญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยสินค้าหลากหลายประเภท เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เกษตร การเปลี่ยนเป็นระบบ e-B/L ของญี่ปุ่นจะมีผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศและจะช่วยเพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในการดำเนินการด้านเอกสารการค้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยอย่างมาก
ที่มา: https://www.ditp.go.th/post/176056
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!